รีวิวขับทดสอบสมรรถนะ “ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023”

ในงานมอเตอร์โชว์ 2023 ที่ผ่านมา ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) ได้เพิ่มความร้อนแรงของไลน์อัปเอสยูวีในประเทศไทย โดยการเปิดตัวพรีเมียมเอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุด ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชันที่ 6 ปี 2023 ซึ่งก็แรงตามคาดจริงๆ เพราะหลังเปิดตัวก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากเปิดตัว อย่างเป็นทางการได้เพียง 7 วัน กวาดยอดจองไปแล้วกว่า 2,000 คัน

จากความปัง! ของยอดจอง ผู้เขียนเองก็เฝ้ารอวันได้ไปขับทดสอบเจ้า ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 อย่างใจจดจ่อกันเลยทีเดียว และแล้วก็ได้รับแจ้งนัดหมายให้ไปเข้าร่วมการขับทดสอบสมรรถนะ “ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่” บนเส้นทางที่สะท้อนคาแรกเตอร์ที่แตกต่างในจังหวัดเชียงใหม่ กับ 2 ขุมพลังการขับเคลื่อน ระบบฟูลไฮบริด e:HEV และขุมพลัง VTEC TURBO รวมระยะทางกว่า 220 กิโลเมตร ในวันที่ 30-31 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา

เริ่มต้นการเดินทาง นัดหมาย 06.00 น.ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เช็คอิน ออกเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ โดยสายการบินไทยสไมล์ ถึงจังหวัดเชียงใหม่เวลา 08.40 น. กับวันที่อากาศขมุกขมัวด้วยฝุ่น PM. 2.5 ขั้นวิกฤต … แต่ภารกิจรออยู่ข้างหน้า ถอยไม่ได้แล้ววว ……..

ทีมงานฮอนด้า พาพวกเราเดินทางออกจากสนามบินเชียงใหม่มายังโรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ พิกัดแถวถนนเจริญประเทศ (หลายท่านอาจรู้จักในนามโรงแรมพรพิงค์เดิมนั่นเอง) ที่นี่เป็นทั้งจุดสตาร์ทการทดสอบ และที่พักของพวกเราในคืนนี้ด้วยค่ะ

ก่อนการทดสอบ มีผู้บริหารของฮอนด้า ออโตโมบิล และทีมวิศวกรผู้พัฒนาวิจัยผลิตภัณฑ์ ได้มาบรีฟให้ข้อมูลด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับเจ้า ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 เพื่อให้เราได้ทำความรู้จัก สร้างความคุ้นเคยกันเบื้องต้นก่อนออกไปขับทดสอบบนท้องถนน

ด้วยรอบนี้ทางฮอนด้าเปิดตัว ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 พร้อมกันทั้ง 2 ระบบขับเคลื่อน คือ ระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังของเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร กับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว และขุมพลังเทอร์โบ เครื่องยนต์เบนซิน VTEC TURBO ขนาด 1.5 ลิตร มีให้เลือกทั้งแบบระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (Real Time(TM) AWD with E-DPS) เส้นทางการขับทดสอบ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 ในวันนี้ ทางฮอนด้าจึงต้องจัดเส้นทางทดสอบเป็นสองเส้นทาง เพื่อให้สื่อมวลชนได้ทดสอบครบทั้งสองรุ่น

เส้นทางแรก ขับทดสอบฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 เครื่องยนต์เบนซิน VTEC TURBO ขนาด 1.5 ลิตร ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (รุ่น E 5 ที่นั่ง ราคา 1,419,000 บาท)

เราใช้เส้นทางหลักขับจากจุดสตาร์ทไปยังร้าน สายธารขุนแจกาแฟขุนลาว พิกัดด้านหน้าอุทยานแห่งชาติขุนแจ ต.แม่เจดีย์ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย โดย ช่วงขาไป ผู้เขียนรับหน้าที่เป็นผู้โดยสารตอนหน้า ผลประกอบการออกมาคือ นั่งสบายตลอดเส้นทางค่ะ แอร์เย็น เครื่องเสียงสุด! เบาะโอบกระชับกับร่างกายได้ดี ระยะขายืดวางได้เต็มที่

ภายในห้องโดยสารของ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 ทันสมัย และมีความกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย การประกอบภายในดูประณีตขึ้น ให้สัมผัสที่หรูหรา ห้องโดยสารเงียบในความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเกินจากนั้นเริ่มมีเสียงยางเข้ามาในห้องโดยสารบ้างแล้ว ส่วนเสียงลมจะได้ยินอย่างชัดเจนในช่วงความเร็วประมาณ140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 มีพื้นที่วางขาของเบาะหลังเพิ่มขึ้น 0.6 นิ้ว พนักพิงหลังปรับเอนได้ 8 ระดับ (จากเดิม 2 ระดับ) และปรับเอนได้สูงสุด 10.5 องศา มีจุดยึด LATCH ที่ได้รับการปรับปรุงเพื่อติดตั้งเบาะนั่งสำหรับเด็กด้านหน้าและด้านหลัง ภายในห้องโดยสารยังติดตั้งระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร (Plasma cluster) มาให้ด้วย ก็ทำให้อุ่นใจได้ระดับหนึ่งในวันที่ต้องไปเจอกับ PM25 ระดับรุนแรงที่เชียงใหม่ค่ะ

การเดินทางขากลับ ผู้เขียนรับบทเป็นผู้ขับทดสอบ ขับออกจากร้าน สายธารขุนแจกาแฟขุนลาว ไปยังจุดรับประทานอาหารกลางวัน ร้าน เว-ฬา ดี เส้นทางขับก็ยังเป็นเส้นทางขับขึ้นเขา ลงเขา ไม่ลาดชันมาก แต่เป็นเขาโค้งยาว ถนนโล่ง ทำให้ได้ลองทำความเร็วได้ ซึ่งเจ้า ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังในเรื่องของอัตราเร่ง สั่งได้อย่างใจ ไม่มีเสียงคำรามของเครื่องยนต์ (แต่ก็ต้องแลกมากับอัตราการบริโภคน้ำมันที่หนักหน่วงเอาการ มีเลขตัวเดียวให้เห็นแทบทุกคัน) การควบคุมรถทำได้ดี เข้าโค้งเนียนกริบ การเซ็ตช่วงล่างมาของรุ่นนี้ต้องปรบมือให้ค่ะ

ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 มีการจัดวางเสากระจกหน้ารถแบบใหม่ ซึ่งการปรับเปลี่ยนงานดีไซน์แบบนี้ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่ารุ่นก่อนหน้า และด้วย ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 ถูกดีไซน์ให้มีกระจกรอบคันขนาดใหญ่ ช่วยเพิ่มความรู้สึกโปร่งโล่ง ไม่อึดอัด เบาะนั่งคู่หน้าได้รับการออกแบบมาใหม่ (Body Stabilizing Seats) โอบรับกับสรีระได้ดี โครงเบาะด้านในตรงตำแหน่งด้านล่างของเบาะนั่ง ถูกออกแบบให้ช่วยพยุงสะโพกเพื่อลดการเคลื่อนไหว และการเปลี่ยนท่าทาง ช่วยลดความเมื่อยล้าเมื่อต้องขับขี่โดยสารระยะทางไกล แต่ในจุดที่รู้สึกไม่ลงตัวสำหรับผู้ขับขี่ที่เป็นผู้หญิง คือตำแหน่งเกียร์ เวลาใช้งานต้องยื่นสุดแขนเพื่อควบคุม ถ้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กน่าจะลำบากในการใช้งานกันพอควรเลยค่ะ

เส้นทางที่สอง ขับทดสอบฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 ระบบฟูลไฮบริด e:HEV ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (รุ่น ES 5 ที่นั่ง ราคา 1,589,000 บาท)

จากร้านอาหารกลางวัน เราเปลี่ยนรุ่นรถจากฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เครื่องยนต์เบนซิน VTEC TURBO ขนาด 1.5 ลิตร ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ รุ่น E มาเป็น ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ฟูลไฮบริด e:HEV ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ รุ่น ES ผู้เขียนรับหน้าที่พลขับต่อ พาเจ้า ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ปี 2023 ออกเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป คือ ร้านกาแฟ WTF Coffee Camp พิกัดบนดอยสูงของบ้านโป่งแยงใน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

ระบบไฮบริด 2 มอเตอร์ ในรุ่น ES e:HEV เป็นการผสานการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีประสิทธิภาพสูง กับอัตราตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 2,000 รอบต่อนาที กับอัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมสูงสุดถึง 20.8 กม./ลิตร* (รุ่น e:HEV ES)

ในการขับขี่บนภูเขาสูงชัน และมีความคดเคี้ยวตลอดเส้นทาง ไดนามิกในขณะใช้ความเร็วสูงให้การทรงตัวที่ดี การถ่ายเทน้ำหนักในทางโค้งทำได้ดี ช่วงล่างและพวงมาลัยไฟฟ้าก็ปรับปรุงมาดีกว่ารุ่นเดิม ช่วงล่างดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว ออกมาในแนวหนึบนุ่ม รักษาอาการโคลงในการเข้าโค้งได้ดี ควบคุมรถได้ง่ายแม้จะเป็นรถคันใหญ่ ระบบช่วยเบรก ระบบเบรก ทำได้นุ่มนวล ไม่ชวนให้สะดุ้งตกใจ ให้ความมั่นใจในการหยุดที่มีประสิทธิภาพสูงในสถานการณ์ฉุกเฉิน อัตราประหยัดเชื้อเพลิงทำได้ดีกว่ารุ่น เครื่องยนต์เบนซิน VTEC TURBO ขนาด 1.5 ลิตร อย่างมีนัยยะสำคัญ

สำหรับใครที่ต้องการความประหยัด เน้นการใช้งานในชีวิตประจำวันเต็มรูปแบบ ระบบฟูลไฮบริด e:HEV ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ ถือเป็นคำตอบที่น่าสนใจค่ะ

ภาพรวม ข้อมูลจำเพาะ

ระบบฟูลไฮบริด e:HEV ใน ซีอาร์-วี ใหม่

  • ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ใหม่ขนาด 2.0 ลิตร Direct Injection Atkinson-Cycle DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีประสิทธิภาพสูง ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดมอเตอร์สูงสุด 335 นิวตัน-เมตร ที่ 0 – 2,000 รอบต่อนาที มอบอัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมสูงสุดถึง 20.8 กม./ลิตร* (รุ่น e:HEV ES) และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 113 กรัม/กิโลเมตร
  • โดยระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานได้อย่างชาญฉลาด เหมาะสมกับการขับขี่ในทุกสถานการณ์กับทั้ง3 โหมด ได้แก่ โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) และโหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) มาพร้อมสวิตซ์โหมดการขับขี่ (Drive Mode Switch) ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโหมดการขับขี่ตามสไตล์ได้อย่างง่ายดาย ได้แก่ โหมดการขับขี่แบบสปอร์ต (Sport Mode) โหมดการขับขี่แบบปกติ (Normal Mode) และโหมดการขับขี่แบบประหยัด (Econ Mode)

ขับสนุก อัตราเร่งเร้าใจ สไตล์สปอร์ต กับขุมพลังเทอร์โบ

  • 1.5 ลิตร Direct Injection DOHC VTEC TURBO 4 สูบ 16 วาล์ว ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Direct Injection และ Turbocharger ขับสนุก อัตราเร่งทันใจ มอบกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) และมีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุด 14.3 กม./ลิตร* (รุ่น E) และรองรับน้ำมัน E85
  • โดยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) มีการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นเพื่อลดเสียงและการสั่นสะเทือนลง รวมทั้งมีการติดตั้ง Step-shift Control

ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ (Real Time(TM) AWD with E-DPS)

สมรรถนะของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ใน ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบและระบบฟูลไฮบริด e:HEV
มาพร้อมคุณค่าใหม่ในหลากหลายด้าน ทั้งการขับขี่และการควบคุมง่ายในขณะเข้าโค้ง มอบความมั่นใจสูง และสมรรถนะด้านเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือน (NV) ที่มอบความผ่อนคลาย ปราศจากเสียงและการสั่นสะเทือนรบกวนผู้โดยสารแถวหลัง

  • ด้านการขับขี่และการควบคุม ให้ทั้งการขับขี่และการบังคับพวงมาลัยที่ง่าย ในขณะเข้าโค้ง โดยใช้วิธีการแบ่งการขับเคลื่อนเป็น 50:50 ซึ่งเหมาะสมกับการเข้าโค้ง แต่สามารถปรับเปลี่ยนสัดส่วนการแบ่งการขับเคลื่อนได้ถึง 60:40 ตามลักษณะการขับขี่ต่าง ๆ เพื่อให้ได้ทั้งสมรรถนะในการลุยบนถนนที่ขรุขระและสมรรถนะการเข้าโค้งควบคู่กัน
  • ด้านความมั่นใจในการขับขี่ มีการเพิ่มแรงขับเคลื่อนล้อหลังในทุกช่วงความเร็ว ทำให้ได้สมรรถนะการขับขี่ที่ให้ความมั่นใจในระดับสูง กล่าวคือ ในช่วงความเร็วต่ำจะให้การออกตัวที่ดีขึ้นมากแม้ขับขี่บนทางลาดชัน ในช่วงความเร็วปานกลาง บนถนนเปียก จะให้สมรรถนะการเร่งความเร็วที่ดีขึ้นมาก และในช่วงความเร็วสูง จะให้การทรงตัวที่ดีขึ้นอย่างมากเช่นกัน
  • ด้านสมรรถนะเสียงรบกวนและการสั่นสะเทือน (NV) มีการใช้ตัวหน่วงการสั่นสะเทือนเชิงบิด (Torsional Damper) ทำให้สามารถดูดซับการแกว่งของแรงบิด และการแกว่งของความเร็วรอบของเครื่องยนต์ ทำให้ได้ความเงียบที่ดีขึ้น ในช่วงความเร็วต่ำ รวมทั้งมีการใช้ชุดเพลาขับ (Constant-Velocity Joint) ที่มีขนาดเล็ก ช่วยลดการแกว่งของรอบการหมุนของเพลากลาง ส่งผลให้มีความเงียบดีขึ้นในทุกช่วงความเร็ว

    ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ผสานการทำงานของกล้องด้านหน้าและเรดาร์ ในการตรวจจับรถยนต์ รถจักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีฟังก์ชันการทำงานหลักๆ ดังนี้

    • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS) ผสานการทำงานของเรดาร์และกล้องด้านหน้าในการทำงาน โดยระบบจะช่วยเตือนผู้ขับขี่ให้ลดความเร็ว เมื่อมีการตรวจจับว่ารถยนต์คันหน้า จักรยานยนต์ จักรยาน และคนเดินถนน อยู่ในระยะไม่ปลอดภัย โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง ซึ่งหากผู้ขับขี่ยังไม่ตอบสนอง หรือในกรณีที่อยู่ในระยะเสี่ยงต่อการชน ระบบจะช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการชนหรือลดความรุนแรงจากอุบัติเหตุ โดยระบบจะทำงานที่ความเร็วตั้งแต่ 5 กม./ชม. ขึ้นไป
    • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS) กล้องด้านหน้าจะทำการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ ซึ่งระบบจะช่วยเพิ่มแรงหน่วงของพวงมาลัย เพื่อช่วยผู้ขับขี่ควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางปกติ และลดอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ โดยระบบจะทำงานที่ความเร็ว 72 – 180 กม./ชม.
    • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation System with Lane Departure Warning : RDM with LDW) ระบบจะใช้กล้องด้านหน้าในการตรวจจับเส้นแบ่งช่องทางจราจร หากพบว่ารถอยู่ในสภาวะเบี่ยงออกนอกช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอแสดงข้อมูลพร้อมการสั่นเตือนของพวงมาลัย และในกรณีที่รถเริ่มเบี่ยงออกนอกช่องทางมากยิ่งขึ้น ระบบจะช่วยหน่วงพวงมาลัย เพื่อให้รถกลับเข้าสู่ช่องทางปกติ ช่วยลดความเสี่ยงที่รถจะออกนอกช่องทางจราจร โดยระบบจะทำงานที่ความเร็ว 72 – 180 กม./ชม.
    • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้า
      ที่ความเร็วต่ำ
      (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
    • ระบบช่วยควบคุมความเร็วของรถให้คงที่ตามที่ผู้ขับขี่ตั้งค่าไว้ และระบบจะปรับความเร็วอัตโนมัติ โดยใช้เรดาร์และกล้องด้านหน้าทำงานร่วมกันในการตรวจจับรถคันหน้า เพื่อรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอย่างเหมาะสม และในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ระบบจะช่วยปรับความเร็วให้รถเคลื่อนที่ตามรถคันหน้า รวมถึงเบรกและหยุดตามอัตโนมัติ ระบบจะเริ่มทำงานอีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มที่พวงมาลัยหรือเหยียบคันเร่ง โดยระบบจะทำงานที่ความเร็ว 30 – 180 กม./ชม.
    • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) ระบบปรับไฟสูง-ต่ำอัตโนมัติด้วยกล้อง โดยจะปรับเป็นไฟสูงเมื่อขับขี่ในที่มืด และจะปรับเป็นไฟต่ำเมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนทางหรือรถยนต์ด้านหน้า
    • ครั้งแรกกับระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD) โดยระบบจะปรับการทำงานของไฟสูง-ต่ำ แยกอิสระซ้าย-ขวา อัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์การขับขี่ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถยนต์ด้านหน้าหรือรถที่กำลังสวนทางมาโดยระบบจะทำงานที่ความเร็ว 10 – 40 กม./ชม.
    • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ (Lead Car Departure Notification System: LCDN) ระบบที่ตรวจจับการเคลื่อนที่ของรถคันหน้า โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่านหน้าจอแสดงข้อมูลและสัญญาณเสียง เพื่อให้ผู้ขับขี่เคลื่อนที่ตามรถคันหน้า โดยระบบจะตรวจจับรถที่หยุดด้านหน้าในระยะ 10 เมตร พร้อมด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัยและเทคโนโลยีเพื่อการขับขี่อื่นๆ* อาทิ
      • ใหม่ ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System: MVCS) (ยกเว้นรุ่น E)
      • เซ็นเซอร์กะระยะหน้า 4 จุด และ หลัง 4 จุด (รุ่น e:HEV ES และ e:HEV RS 4WD)
      • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Descent Control: HDC)
      • ไฟส่องสว่างด้านข้างอัตโนมัติขณะเลี้ยว (Active Cornering Light: ACL) (เฉพาะรุ่น e:HEV RS 4WD)
    • Honda LaneWatch)
    • Driver Attention Monitor)
    • Deceleration Paddle Selectors) (รุ่น e:HEV ES และ e:HEV RS 4WD)
    • Paddle Shift) (รุ่น ES 4WD และ EL 4WD)
    • ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT) (ยกเว้นรุ่น E) เทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ตโฟน มาพร้อมหลากหลายฟังก์ชันการทำงาน โดยมี 8 ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยตลอดการเดินทาง ได้แก่
      •  My Service ตรวจสอบประวัติการเข้ารับบริการ รวมทั้งการประเมินรายการอะไหล่และค่าใช้จ่ายเบื้องต้น โดยจะมีการแจ้งเตือนกำหนดการเข้ารับบริการครั้งต่อไป
      • Car Log ข้อมูลการขับขี่จะประกอบด้วยพฤติกรรมการขับขี่ ที่สามารถแสดงผลเป็นรายวัน รายเดือน หรือรายปี และ บันทึกการเดินทาง ที่สามารถเลือกทริปโปรด และแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น ไลน์ อินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ เป็นต้น
      • Wi-Fi สามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายจากรถยนต์ โดยจะใช้งานได้พร้อมกันสูงสุดถึง 5 อุปกรณ์ มีระยะการส่งสัญญาณห่างจากตัวรถยนต์อยู่ที่ 40 เมตร โดยต้องไม่มีสิ่งกีดขวาง
      • * ลูกค้าสามารถสมัครแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการเครือข่าย (เอไอเอส) โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
      • Airbag Deployment เมื่อเกิดอุบัติเหตุและถุงลมทำงาน กล่องอุปกรณ์ TCU จะส่งสัญญาณเตือนให้ทราบทันทีผ่านทางแอปพลิเคชัน พร้อมทั้งส่งข้อมูลไปยังศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้าเพื่อทำการติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ หรือเบอร์โทรฉุกเฉินที่ลูกค้าผู้ใช้งานระบุไว้ในระบบ เพื่อทำการประสานงานให้ความช่วยเหลือขั้นต้น
      • Car Status แจ้งเตือนสถานะรถยนต์ เมื่อเกิดความผิดปกติจากระบบของรถยนต์ และ แจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย เมื่อเกิดความผิดปกติกับรถยนต์จากภายนอก เช่น การเปิดประตู กระโปรงหน้า และฝากระโปรงท้ายของรถยนต์อย่างผิดปกติ
      • Remote Vehicle Control สามารถสั่งการล็อกและปลดล็อกประตูทั้งหมด อีกทั้งยังสามารถสั่งสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมทั้งตั้งค่าระดับอุณหภูมิของระบบปรับอากาศในรถยนต์ และสั่งการดับเครื่องยนต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถสั่งเปิดสัญญาณไฟ ทั้งไฟหน้าและไฟท้าย โดยผู้ใช้งานจะต้องกำหนดรหัสส่วนตัวเป็นตัวเลข 4 หลัก (PIN) และจะต้องป้อนรหัสส่วนตัวทุกครั้งก่อนการใช้งาน
      • Geo Fence & Speed Alert สามารถกำหนดขอบเขตการขับขี่รถยนต์ทั้งเข้าและออกตามพื้นที่ที่กำหนดไว้ และยังสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนความเร็วตามกำหนดได้อีกด้วย
      • Find My Car สามารถตรวจสอบพิกัดรถยนต์ โดยระบบจะส่งพิกัดรถยนต์บนแผนที่ล่าสุด แสดงผล
        บนแอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ใช้งานจะต้องใส่รหัสส่วนตัว 4 หลัก (PIN) ก่อนการใช้งาน

    รุ่นและราคา

    ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด5 รุ่นย่อย ดังนี้

    e:HEV มาพร้อม 2 รุ่นย่อย ได้แก่

    e:HEV RS 4WD 5 ที่นั่งราคา 1,729,000 บาท
    e:HEV ES 5 ที่นั่งราคา 1,589,000 บาท

    เครื่องยนต์เทอร์โบ มาพร้อม 3 รุ่นย่อย ได้แก่

    รุ่น EL 4WD 7 ที่นั่งราคา 1,649,000 บาท
    รุ่น ES 4WD 5 ที่นั่งราคา 1,599,000 บาท
    รุ่น E 5 ที่นั่ง ราคา 1,419,000 บาท

    เสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นสำหรับรุ่นที่ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ด้วยการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง


    Honda เผยรายละเอียด Honda CR-V เวอร์ชั่นปรับโฉมใหม่ปี 2020 นำเสนอจุดเด่นด้วยรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ต พร้อมการอัพเกรดฟังค์ชั่น และสมรรถนะที่มีการยืนยันว่ามีเวอร์ชั่น Hybrid มาแน่นอน ด้วยฐานะรถอเนกประสงค์ SUV Hybrid รุ่นแรกจาก Honda ฝั่งอเมริกา และสมาชิกใหม่รุ่นที่ 3 ต่อจาก Accord Hybrid และ Insight Hybrid

    Honda CR-V

    ปรับโฉม Honda CR-V ด้วยการเพิ่มความสปอร์ต

    Honda CR-V มาพร้อมการปรับรูปลักษณ์ให้ดูสปอร์ตขึ้น ด้วยชุดกันชนหน้า และชุดไฟตัดหมอกใหม่ เสริมด้วยชุดกระจังหน้าโครเมี่ยม โดยในรุ่นย่อย EX, EX-L และ Touring ยกระดับความเร้าใจให้รูปลักษณ์ด้วยชุดไฟตัดหมอกแบบ LED เช่นเดียวกับเวอร์ชั่น Hybrid

     

    ซึ่งยกระดับความโดดเด่นขึ้นไปอีกขั้นด้วย ตราสัญลักษณ์บ่งบอกความเป็นเวอร์ชั่น Hybrid กับตัวโลโก้โทนสีฟ้า ขณะที่ด้านหลังเสริมความดุดันด้วยชุดไฟท้ายโทนสีเข้ม ตัดด้วยวัสดุตกแต่งในโทนสี Dark Chrome แบบใหม่ บริเวณใต้กระจกบังลมหลัง ปิดท้ายด้วยตราประทับ Hybrid และชื่อรุ่น Touring บนกันชนหลัง พร้อมด้วยการซ่อนชุดท่อไอเสียใหม่สีโครเมี่ยมไว้ใต้กันชน ส่วนล้ออัลลอยด์มาตรฐานที่จัดมาให้คือ ขนาด 18 นิ้วดีไซน์ใหม่ สำหรับรุ่นย่อย EX, EX-L และรุ่น Hybrid ขณะที่รุ่นย่อย Touring จะมากับขนาด 19 นิ้ว

    Honda CR-V

     

    ส่วนภายในห้องโดยสารมากับการดีไซน์ใหม่ โดยในเวอร์ชั่น Hybrid นั้นมีจุดเด่นเป็นชุดเกียร์แบบปุ่มกดดีไซน์ใหม่ พร้อมโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ คือ Econ, Sport และ EV เสริมด้วยออพชั่นสุดล้ำอย่างให้กับรุ่นย่อย Touring ด้วยระบบ Qi หรือ ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charging ที่คอนโซลกลาง, หน้าจอ DII (Driver-Information Interface TFT แบบสี พร้อมหน้าจอความบันเทิงระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อได้ทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto™ ตลอดจนระบบนำทาง Honda Satellite-Linked Navigation System™

    Honda CR-V

     

    เสริมด้วยระบบอำนวยความสะดวก เช่น กุญแจ Remote Engine Start, ระบบปรับอากาศแบบ Dual-Zone Climate Control, ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electric Parking Brake), ช่องต่อ USB สำหรับเบาะหลัง, เบาะนั่งคนขับปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง และผู้โดยสารด้านหน้า 4 ทิศทาง พร้อมระบบนวด และระบบทำความร้อน

    สมรรถนะสุดล้ำ ด้วยขุมพลัง Hybrid

    สมรรถนะของ Honda CR-V 2020 มากับ 2 ทางเลือกหลัก เริ่มต้นด้วยรุ่นย่อย LX ที่มากับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTEC พ่วงระบบอัดอากาศ ซึ่งมีกำลังสูงสุดที่ 190 แรงม้า โดยมีระบบขับเคลื่อนให้เลือกทั้งแบบล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ จากระบบส่งกำลังแบบ CVT พร้อมระบบ Honda G-Shift

    ส่วนเวอร์ชั่นจะมากับเครื่องยนต์พื้นฐานเดียวกับ Accord Hybrid ในพิกัด 2.0 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC แบบ Atkinson Cycle เสริมกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ซึ่งมีพละกำลังรวม 215 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Real-time 4WD

    Honda CR-V

     

    นอกจากนี้ทุกรุ่นของ Honda CR-V 2020 ยังได้รับการยกระดับความปลอดภัยด้วย เทคโนโลยี Advanced Safety and Driver-Assistive Technology จากระบบ Honda Sensing® ซึ่งประกอบด้วย ระบบเตือนการชนรถ และ คนเดินถนน พร้อมระบบช่วยเบรก Collision Mitigation Braking System™ (CMBS™) with Forward Collision Warning (FCW) and pedestrian sensing capability

    ตามด้วยระบบเตือน และ ช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ Road Departure Mitigation (RDM) with Lane Departure Warning (LDW), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมปรับความเร็วตามคันหน้า Adaptive Cruise Control (ACC) with low-speed follow, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ Lane Keeping Assist (LKAS), ระบบเตือนมุมอับสายตา Blind Spot Information (BSI), ระบบเตือนสิ่งกีดขวางในด้านหลัง Rear Cross Traffic Monitor (CTM) และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam headlights

    Honda CR-V

    CR-V Reach Out ก้าวออกไป…ให้ไกลกว่าจินตนาการ”

    บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรมท่องเที่ยวสุดพิเศษตอบแทนความไว้วางใจของลูกค้าเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ CR-V Reach Out ก้าวออกไป…ให้ไกลกว่าจินตนาการ” พาลูกค้าและสื่อมวลชน ร่วมสัมผัสประสบการณ์ขับขี่ของ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ และเสน่ห์ของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำโขง ผ่านเส้นทางของ 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รวมระยะทางกว่า 1,200 กิโลเมตร ระหว่างวันที่ 24- 28 มกราคม ที่ผ่านมา

     

    CR-V Reach Out Trip

    การเดินทางในครั้งนี้ เริ่มต้นที่กรุงเทพฯ สู่จุดหมายแรกที่จังหวัดสระแก้ว ก่อนที่จะข้ามพรมแดนไทยสู่ประเทศกัมพูชา เพื่อชมความงามของวัฒนธรรมขอมโบราณ ซึ่งเป็นมรดกโลกที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ได้แก่ ปราสาทนครวัด ปราสาทนครธม และพีระมิดขอมเกาะแกร์ จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อชมธรรมชาติที่สวยงาม ได้แก่ น้ำตกคอนพะเพ็ง ปราสาทหินวัดพู ไร่กาแฟปากซองไฮแลนด์ น้ำตกตาดเยือง และน้ำตกตาดฟาน ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านทางด่านชายแดนสปป.ลาว-ไทย ช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี

     

    CR-V Reach Out Trip

    นอกจากความสนุกสนานที่ลูกค้าและสื่อมวลชนได้รับจากกิจกรรมนี้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยมของทั้งรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 1.6 ลิตร i-DTEC DIESEL TURBO และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร DOHC i-VTEC ทั้งยังพร้อมตอบสนองการใช้งานอเนกประสงค์อย่างแท้จริง นับเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ใหม่ที่ช่วยยืนยันได้ว่าความสวยงามของธรรมชาติและอารยธรรมของลุ่มแม่น้ำโขงนั้นมีมากมายเกินกว่าที่จินตนาการของเราจะสามารถอธิบายได้ เพียงแค่กล้าที่จะก้าวออกไปสัมผัสด้วยตัวคุณเอง

    CR-V Reach Out ก้าวออกไป…ให้ไกลกว่าจินตนาการ”

    บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เชิญชวนลูกค้าเจ้าของรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่เปิดประสบการณ์การขับขี่บนเส้นทางประเทศกัมพูชาและลาวใต้แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับทริป CR-V Reach Out ก้าวออกไป…ให้ไกลกว่าจินตนาการ” ร่วมสัมผัสอารยธรรมแห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่นครวัด เมืองมรดกโลกแห่งความศรัทธา ตื่นตากับความมหัศจรรย์ของน้ำตกคอนพะเพ็ง พร้อมกิจกรรมให้ร่วมสนุกตลอดการเดินทาง 5 วัน 4 คืน

    เพียงสมัครร่วมกิจกรรมโดยส่งภาพของคุณกับฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ พร้อมบรรยายความประทับใจ ตั้งแต่วันนี้ – 5 ธันวาคม 2560 ที่ www.honda.co.th/crvreachout โดยจะประกาศผล 10 รายชื่อผู้โชคดี ในวันที่ 12 ธันวาคม 2560 ผ่านทางเว็บไซต์

    ลูกค้าที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่  www.honda.co.th/crvreachout

    การมาเยือนสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ในครั้งนี้เป็นการมาเยือนที่ให้ความรู้สึกแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยสนามที่เวิ้งว้างกว้างใหญ่ในวันปกติธรรมดา ประกอบกับการใช้ทีมงานเพียงหยิบมือจาก บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด  พลพรรคสื่อที่จำกัดจำนวน  รวมถึงระยะเวลาที่ใช้ต้องสั้น และกระชับ ปิดท้ายด้วยข้อจำกัดทางด้านสื่อ Social ต่างๆ มันเลยทำให้รู้สึกเหมือนเรากำลังเดินทางสู่ Area51 ฐานทัพที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐเนวาดา ในสหรัฐอเมริกาตะวันตก ยังไง ยังงั้น …ก็แน่ล่ะครับ เพราะนี่คือรอบวอร์มอัพสำหรับ “ของใหม่” ที่มาแรงแน่นอนในตลาดบ้านเรากับ All-new Honda CR-V Generation 5

    All-new Honda CR-V

    ซึ่งจอดรอคณะสื่อมวลชนสายรถยนต์อยู่บริเวณด้านหน้าพิทของสนามอันเป็นการทดสอบแบบ Exclusive Test ที่น่าตื่นเต้น มากับรายละเอียดที่ยังไม่เปิดเผยมากนักในเรื่องของออพชั่น แต่เท่าที่สังเกตด้วยตาก็ต้องยอมรับว่าค่อนข้างให้มา “ครบ” ทีเดียว ทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสารสมกับความเป็นรถเอนกประสงค์ชื่อชั้นแนวหน้าแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ซึ่งนั่นอาจจะทำให้การทำราคาในตลาดบ้านเราค่อนข้างยาก

    เพราะฉะนั้นรอดูเวอร์ชั่นผลิตขายจริง และส่องออพชั่นจากแคตตาล็อคน่าจะเป็นอะไรที่ชัวร์กว่า แล้วอีกอย่างเราเดาว่า บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด คงอยากให้ได้สัมผัสกับสมรรถนะเป็นหลักมากกว่า ด้วยจากทั้งการเลือกสถานที่ และข้อมูลนำเสนอเบื้องต้นที่มีรายละเอียดสำคัญของ “สิ่งใหม่” และสิ่งนั้นก็คือ “เครื่องยนต์” ที่นับเป็นย่างก้าวแรกในประเทศไทยที่ยนตรกรรมจากค่ายฮอนด้า จะขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Diesel Turbo !!!!!

    All New CR-V Generation 5

    มากับจุดเด่นด้านสมรรถนะ ซึ่งประกอบด้วยเครื่องยนต์ i-DTEC Diesel Turbo แบบ 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม (Earth Dreams Technology) โดยมีพละกำลังสูงสุด 160 แรงม้าที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ซึ่งเคลมมาว่ามีอัตราเร่งที่ดี และอัตราการประหยัดน้ำมันที่น่าประทับใจถึง 18.9 กิโลเมตรต่อลิตร รวมถึงการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอัตราที่ต่ำเพียง 141 กรัมต่อกิโลเมตร

    All New CR-V Generation 5

    เครื่องยนต์ i-DTEC Diesel Turbo

    บล็อคนี้ก็ประกอบด้วยเทคโนโลยีสำคัญหลายส่วน เช่น ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 จังหวะ (2-stage Turbocharger) คือ LP Turbo หรือ Low Pressure Turbo สำหรับทำงานในช่วงแรงดันต่ำ และ HP Turbo หรือ High Pressure Turbo ทำงานในช่วงแรงดันสูง ด้วยการควบคุมจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่จะสั่งให้ทำงานร่วมกัน ตั้งแต่ช่วงรอบต่ำเพื่อสร้างอัตราเร่งสำหรับใช้ในการออกตัว ซึ่งในส่วนของตัว HP Turbo นั้นได้ติดตั้งระบบ VGT – Variable Geometry Turbocharger หรือครีบแบบแปรผันที่ปรับองศาไปตามรอบเครื่องยนต์ เพื่อช่วยในการตอบสนองต่ออัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจในช่วงรอบต้น ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันอีกด้วย ในขณะที่ตัว LP Turbo จะมากับ Waste gate สำหรับคายแรงดันไอเสียส่วนเกิน โดยในช่วงรอบเครื่องยนต์กลางๆ นั้นระบบอัดอากาศทั้ง 2 ตัวจะสลับการทำงานกันอย่างเหมาะสมเพื่อให้มีประสิทธิภาพ และสร้างสมรรถนะที่ดีที่สุด

    การระบายความร้อนของไอดี

    ส่วนต่อมาคือการระบายความร้อนของไอดี (Intercooler) ก็ยังคงทำตามหน้าที่ในการระบายความร้อนของไอดี จากการทำงานของเทอร์โบชารจ์เจอร์ ให้เย็นตัวลงก่อนที่จะผ่านเข้าห้องเผาไหม้ ทำให้มวลอากาศโดยรวมเล็กลง เพื่อนำอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้ปริมาณที่มากขึ้น ทำให้การเผาไหม้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

    การจ่ายน้ำมัน

    ตามด้วยระบบการจ่ายน้ำมันแบบรางร่วม (Common Rail) ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยควบคุมแรงดันในรางให้เหมาะสม ด้วยการคำนวณรอบเครื่อง ปริมาณการฉีดน้ำมัน อุณหภูมิ และไอเสีย

    ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหลายจุด (Multi Injection) จะทำหน้าที่ฉีดจ่ายน้ำมันแบบแปรผันให้เหมาะสมกับรอบการทำงานของเครื่องยนต์ โดยจะคำนวณปริมาณ และจังหวะจากการทำงานของรอบเครื่องในขณะขับขี่

    ติดตั้งระบบหยุดการทำงานของเครื่องยนต์ในรอบเดินเบา (Idle Stop System) กับการทำหน้าที่ดับเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติขณะจอดนิ่ง และจะสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง เมื่อปล่อยเบรก หรือเหยียบคันเร่ง

    ระบบหมุนเวียนไอเสีย

    ปิดท้ายด้วยระบบหมุนเวียนไอเสีย (Exhaust Gas Recirculation System – EGR) ที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์แม่นยำสูง เพื่อนำไอเสียกลับมาในระบบเผาไหม้อีกครั้ง เพื่อช่วยให้ไอดีมีอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการจุดระเบิด พร้อมด้วยการติดตั้งตัวกรองอนุภาคไอเสียดีเซล (Diesel Particulate Filter – DPF) เพื่อทำหน้าที่ดักจับเขม่าของน้ำมันที่ออกมากับไอเสียเพื่อเพิ่มความมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

    และนั่นทำให้จำนวนการขับขขี่ไม่กี่รอบสนามนั้นรู้สึกได้ถึงความยอดเยี่ยมจากสมรรถนะของ All New CR-V Generation 5 ตั้งแต่เริ่มกดคันเร่งที่มีการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ดีตั้งแต่รอบต่ำ โดยสามารถรับรู้ได้ถึงแรงบิดที่มีออกมาให้ใช้อย่างต่อเนื่องทันใจแม้จะเป็นเกียร์ในตำแหน่ง D ก็ตาม แถมยังส่งกำลังได้อย่างนุ่มนวลด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด แต่ถ้าอยากเพิ่มความมันส์ขึ้นอีกนิดให้กดปุ่ม D ซ้ำลงไปอีกทีก็จะเป็นโหมด S – Sport (ลืมบอกไปว่า All New CR-V วิวัฒนาการจากคันเกียร์กลายเป็นเกียร์แบบปุ่มกดทุกตำแหน่ง) ซึ่งช่วยเพิ่มความมันส์ในการลากรอบเครื่องยนต์เพิ่มได้อีกราวๆ 15% และเปลี่ยนเกียร์ได้ด้วย Paddle Shift หลังพวงมาลัย โดยในการเปลี่ยนเกียร์นั้น All New CR-V จะป้องกันระบบเกียร์เสียหายโดยไม่ให้ลากจนรอบตัด แต่จะจัดการเปลี่ยนเกียร์ให้เองในช่วงก่อนถึงเรดไลน์ ในขณะที่การเปลี่ยนเกียร์ลงนั้นก็จะไม่ยอมเปลี่ยนให้เช่นกันหากความเร็ว และรอบเครื่องยนต์ไม่อยู่ในช่วงที่เหมาะสม

    อีกหนึ่งจุดที่ผมชื่นชอบก็คือ อรรถรสในการขับขี่ ทั้งจากน้ำหนักพวงมาลัยที่มีการปรับเซ็ทใหม่ พร้อมด้วยระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ (Agile Handling Assist – AHA) และระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (Motion-Adaptive Electric Power Steering – MA – EPS) ซึ่งโดยเฉพาะในความเร็วสูงนั้นมีการหน่วงให้อยู่ในระดับที่มั่นใจได้ดีกว่าในเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมามาก ในขณะที่ระบบช่วงล่างนั้นก็มีการออกแบบ และพัฒนาในด้านหลังใหม่เรียกว่า E – Type Multi – Link ซึ่งเพิ่มความมั่นใจได้มาก  แม้จะเป็นรถที่มี CG ในสไตล์ของรถอเนกประสงค์  และต้องวิ่งบนสนามแข่งที่มีทั้งโค้งแคบ และโค้งกว้างต้องพบเจอมากมาย แต่ All New CR-V ก็ยังคงเกาะแน่นหนึบ และให้การทรงตัวที่ดีเยี่ยมในระดับที่สามารถเล่นสนุกกับการเติมคันเร่ง หรือใช้ความเร็วในโค้งได้อย่างสบายๆ ทีเดียว ซึ่งความมั่นใจนี้แน่นอนว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากระบบพวงมาลัย และระบบช่วงล่างเท่านั้น  หากแต่ยังรวมถึงการขับเคลื่อนแบบ AWD E-DPS ที่ชาญฉลาดด้วยการแปรผันการกระจายแรงบิดสู่ล้อได้แบบ Real – Time ซึ่งเพิ่มความแม่นยำของการปรับแรงบิดทั้งล้อหน้า และล้อหลังได้อย่างสมดุล  ทำให้ All New CR-V เป็นยนตรกรรมอเนกประสงค์ขับสนุกแบบที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน

    จนทำให้ผมเกิดความคิดบ้าๆ ว่า จะไม่ยอมเข้าพิทเปลี่ยนคนขับตามกฏกติกามารยาท … แต่ด้วยความเกรงใจประชาชนสื่อมวลชนที่กำลังใจจดใจจ่อรอสัมผัสสมรรถนะของ All New CR-V บ้าง ทำให้ผมล้มเลิกความคิด แล้วตรงดิ่งเข้าพิทเปลี่ยนคนขับ พร้อมกับรอยยิ้มมุมมปากเล็กๆ เพื่อบ่งบอกว่าผมออกไปเจอความยอดเยี่ยมของ All New CR-V Generation 5 บนสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิตเข้าเต็มๆ ในระหว่างจำนวน 12 โค้งของสนามที่มีความยาว 4.554 กม. แห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว …

    ฮอนด้า อุ่นเครื่องพาสื่อมวลชนทดสอบสมรรถนะ “ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ” ( Honda CR-V 2017 ) เครื่องยนต์ i-DTEC DIESEL TURBO พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ครั้งแรกของประเทศไทยใน “ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ ” ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

     

    ทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ i-DTEC DIESEL TURBO

    บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด พาคณะสื่อมวลชนทดสอบสมรรถนะของเครื่องยนต์ i-DTEC DIESEL TURBO ที่มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ณ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ โดยนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่ฮอนด้าจะได้แนะนำเครื่องยนต์และระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่ ในยนตรกรรมสปอร์ตเอนกประสงค์ระดับพรีเมียม “ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 5” ซึ่งเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย 24 มีนาคม นี้
    เครื่องยนต์ i-DTEC DIESEL TURBO 4 สูบ ขนาด 1.6 ลิตร ได้รับการพัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม (Earth Dreams Technology) ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ซึ่งเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ให้ทั้งอัตราเร่งและอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมสูงถึง 18.9 กิโลเมตร/ลิตร อีกทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอัตราที่ต่ำเพียง 141 กรัม/กิโลเมตร จะติดตั้งอยู่ใน “ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่” โดยมาพร้อมอีกหนึ่งตัวเลือกกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง ครบครันด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยและฟังก์ชั่นการใช้งานอันล้ำสมัย ทำให้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ เป็นยนตรกรรมเอสยูวีที่มีความพรีเมียมเหนือระดับมากกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา

    ฮอนด้า ซีอาร์-วี ดีเซล

    ฮอนด้า ซีอาร์-วี ดีเซล

    โดยเครื่องยนต์ i-DTEC DIESEL TURBO มีหลักสำคัญในการทำงานของเครื่องยนต์ ดังนี้

    สมรรถนะการขับขี่ที่ทรงพลังของฮอนด้า ซีอาร์-วี

    • ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ 2 จังหวะ (2-stage Turbocharger)
      ผสานการทำงานอย่างชาญฉลาด ด้วยการควบคุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่รวดเร็วและแม่นยำเพื่อให้การตอบสนองทั้งกำลังแรงบิดและอัตราเร่งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในทุกการขับขี่ ประกอบด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ทำงานในช่วงแรงดันสูง (High Pressure Turbo) และเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ทำงานในช่วงแรงดันต่ำ (Low Pressure Turbo) โดยจะทำงานร่วมกันตั้งแต่รอบต้นที่ต้องการอัตราเร่งเพื่อใช้ในการออกตัว ซึ่ง High Pressure Turbo มีการติดตั้ง Variable Geometry Turbocharger (VGT) เพื่อช่วยในการตอบสนองต่ออัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจในช่วงรอบต้น ช่วยลดการสูญเสียกำลังของเครื่องยนต์โดยไม่จำเป็น อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน เมื่อต้องการอัตราเร่งในช่วงความเร็วสูง Low Pressure Turbo ที่ควบคุมการทำงานผ่าน Waste gate Type Turbocharger จะช่วยเสริมการทำงานเพื่อให้ได้กำลังและแรงบิดที่สูงขึ้นในการขับขี่ โดย High Pressure Turbo และ Low Pressure Turbo จะมีการสลับการทำงานในช่วงกลางที่ความเร็วคงที่ เมื่อระบบทำงานผสานกัน จะให้ประสิทธิภาพเพื่อการเผาไหม้อย่างสูงสุด
    • การระบายความร้อนของไอดี (Intercooler)
      ระบบจะทำหน้าที่ระบายความร้อนของไอดีที่ถูกอัดมาจากการทำงานของเทอร์โบชารจ์เจอร์ซึ่งมีความร้อนสูงให้เย็นตัวลงก่อนที่จะผ่านเข้าห้องเผาไหม้ ทำให้มวลอากาศโดยรวมเล็กลง เพื่อนำอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้ปริมาณที่มากขึ้น ทำให้การเผาไหม้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
    • ระบบการจ่ายน้ำมันแบบรางร่วม (Common Rail)
      ระบบจะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อช่วยควบคุมแรงดันในรางให้เหมาะสม ด้วยการคำนวณรอบเครื่อง ปริมาณการฉีดน้ำมัน อุณหภูมิ และไอเสีย ทำให้การฉีดน้ำมันจากหัวฉีดทุกตัวมีความเสถียร และเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอีกด้วย
    • ระบบหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหลายจุด (Multi Injection)
      ระบบหัวฉีดน้ำมันจะทำงานแปรผันให้เหมาะสมกับรอบการทำงานของเครื่องยนต์ โดยจะคำนวณปริมาณและจังหวะในการฉีดน้ำมันกับการทำงานของรอบเครื่องในขณะขับขี่ ให้ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยในเรื่องอัตราประหยัดน้ำมันและลดการสั่นสะเทือนจากการทำงานของเครื่องยนต์

     

    [embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=jE_OZv2MhYU[/embedyt]

     

     

    บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เอาใจกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบยนตรกรรมพรีเมียมสปอร์ตอเนกประสงค์ ด้วยการแนะนำ Honda CR-V Special Edition รุ่น 2.0 SE 4WD ที่มาพร้อมเอกลักษณ์ที่โดดเด่นในสไตล์สปอร์ตยิ่งขึ้น ทั้งยังเพิ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่เหนือระดับ

    • กระจังหน้าโครเมียม กันชนหน้า-หลังแบบสปอร์ต และสปอยเลอร์หลัง

    • ไฟหน้าแบบ HID พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ

    • ล้ออัลลอยรมดำใหม่ขนาด 17 นิ้ว

    • ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)

    Honda CR-V Special Edition 2.0 SE 4WD โดดเด่นสไตล์สปอร์ต

    Honda CR-V รุ่น 2.0 SE 4WD มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 สปีด ให้กำลังสูงสุด 155 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที ด้วยแรงบิดสูงสุดที่ 190 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control ที่ให้ความคล่องตัวในทุกการขับขี่ ภายในห้องโดยสารยังคงกว้างขวาง หรูหรา และรองรับความสบาย ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว แบบ Advanced Touch พร้อมรองรับระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI (สำหรับ iphone4S ขึ้นไป) และการเชื่อมต่อ Smart Phone (ในบางรุ่น) ช่องเชื่อมต่อ HDMI และช่องเชื่อมต่อ USB พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น สวิตช์ควบคุมระบบ i-MID พร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) ให้ความคล่องตัวในทุกท่วงท่าด้วยเบาะนั่งด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางพร้อมปุ่มปรับดันหลัง พร้อมพื้นที่อเนกประสงค์ด้านหลังที่รองรับสัมภาระได้อย่างลงตัวด้วยเบาะแถวหลังพับจังหวะเดียวแบบ One Motion พร้อมแยกพับ 60:40 เพื่อความลงตัวในทุกการใช้งาน ทั้งนี้ยังมาพร้อมอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่ครบครัน อาทิ กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับ ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ (i-Side Airbags) ม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว (VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) ช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกการขับขี่

    Honda CR-Vรุ่น 2.0 SE 4WD มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาวออร์คิด (มุก) ภายในห้องโดยสารสีดำ ราคา 1,421,000 บาท และสีดำคริสตัล (มุก) ภายในห้องโดยสารสีเบจ ราคา 1,417,000 บาท

    สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือ http://www.honda.co.th/crv-specialedition

    บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำความประหยัดของระบบฟูลไฮบริด e:HEV ผ่านทริปสุดพิเศษ ‘Honda e:HEV Challenge ประหยัด… ไปถึงไหนนน!’ แท็กทีมลูกค้ารถยนต์ Honda e:HEV ทั้ง 6 รุ่น จำนวน 30 คัน รวมผู้ขับขี่พร้อมผู้โดยสารทั้ง 60 คน และคณะสื่อมวลชนสายยานยนต์ ร่วมพิสูจน์ความประหยัดน้ำมัน และสมรรถนะการขับขี่ของระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV กับน้ำมัน 1 ถัง บนเส้นทางการขับขี่จริงจากกรุงเทพฯ – พิษณุโลก – เชียงใหม่ รวมระยะทางกว่า 900 กิโลเมตร โดยผลลัพธ์จากกิจกรรมพบว่ารถยนต์ Honda e:HEV ทุกรุ่น สามารถขับขี่ได้ไกลเกินกว่า 900 กิโลเมตร ด้วยน้ำมันเพียงถังเดียว* โดยไม่มีการแวะเติมน้ำมัน คอนเฟิร์มความประหยัดจากลูกค้าผู้ใช้งานจริง กับสถิติตัวเลขอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีเยี่ยมเกินกว่าป้ายข้อมูลรถยนต์ตามมาตรฐานสากล หรือ ECO Sticker* อีกทั้งลูกค้ายังได้ร่วมแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการขับขี่ที่ตอกย้ำความประหยัดอีกขั้น พร้อมเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมสัมผัสและพิสูจน์ความประหยัดของ Honda e:HEV ทุกรุ่นด้วยตัวคุณเอง และให้ทุกท่านสามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยข้อเสนอพิเศษ ณ โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ

    โดยลูกค้าผู้ใช้จริงรถยนต์ Honda e:HEV ที่เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 30 คัน จากทั้ง 6 รุ่น ได้แก่

    ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี4 คัน
    ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี 6 คัน
    ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี 6 คัน
    ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี2 คัน
    ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี6 คัน
    ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี6 คัน

      ตลอดเส้นทางการขับขี่สุดท้าทายเพื่อพิสูจน์ความประหยัดของน้ำมัน 1 ถัง ลูกค้าต่างขับขี่กันอย่างมุ่งมั่น ผสานการใช้เทคนิคสไตล์ตนเองในการขับขี่รถยนต์ Honda e:HEV คู่ใจ สู่ประสบการณ์ที่สนุกสนานตลอดทริป โดยได้พิสูจน์บนเส้นทางการใช้งานจริงหลากหลายรูปแบบ ทั้งในเมือง และทางขึ้น-ลงเขา รวมถึงทางโค้ง และได้พิสูจน์ถึงการทำงานของระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด e:HEV ที่สามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานให้เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างชาญฉลาด โดยระบบจะเลือกโหมดการขับขี่ที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับระดับของแบตเตอรี่ สภาพถนน และพฤติกรรมในการขับขี่ ประกอบด้วยการทำงานของโหมดการขับขี่ 3 โหมด ได้แก่

      • โหมดการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (EV Drive Mode) ระบบจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขณะ
        ออกตัว เหมาะกับการขับขี่ในเมือง
      • โหมดการขับขี่ด้วยระบบไฮบริด (Hybrid Drive Mode) มอบอัตราเร่งทรงพลังและนุ่มนวล โดยระบบจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ในขณะที่เครื่องยนต์จะทำหน้าที่ปั่นไฟส่งเข้าสู่มอเตอร์ เพื่อขับเคลื่อนล้อ หรือเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่
      • โหมดการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์ (Engine Drive Mode) โดยจุดเด่นอยู่ที่ชุดล็อกอัพคลัตช์ที่อยู่ในเกียร์
        E-CVT จะเชื่อมต่อเครื่องยนต์และส่งกำลังไปยังล้อโดยตรง เหมาะกับการขับขี่โดยใช้ความเร็วสูงคงที่

      รถยนต์ e:HEV ทุกรุ่นของฮอนด้า ยังมาพร้อมกับระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) เป็นระบบที่ช่วยชะลอความเร็วรถ และสามารถชาร์จไฟกลับไปที่แบตเตอรี่ไฮบริด ช่วยให้รักษาระยะห่างจากรถคันหน้า ชะลอความเร็วเมื่อเข้าโค้ง หรือขับรถลงทางลาดชันได้โดยไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย ลดการเหยียบเบรกโดยไม่จำเป็นและยังได้พลังงานไฟฟ้าชาร์จกลับไปที่แบตเตอรี่ ช่วยให้ประหยัดน้ำมัน ให้ทั้งความสนุกสนานในการขับขี่ควบคู่ไปกับความประหยัดน้ำมันและความปลอดภัย และทุกรุ่นยังมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง** (Honda SENSING) มอบความมั่นใจยิ่งขึ้นในทุกการเดินทาง

      สำหรับกิจกรรม ‘Honda e:HEV Challenge ประหยัด… ไปถึงไหนนน!’ ได้พิสูจน์ผลลัพธ์แล้วว่า รถยนต์ Honda e:HEV ทุกรุ่น ทั้ง 30 คัน สามารถขับขี่ได้ไกลเกินกว่า 900 กิโลเมตร ด้วยน้ำมัน 1 ถัง โดยที่น้ำมันยังเหลือ จากการทดสอบบนเส้นทางจากกรุงเทพฯ – พิษณุโลก – เชียงใหม่ ซึ่งผู้ชนะทั้ง 6 รุ่น สามารถขับขี่ด้วยน้ำมัน 1 ถัง โดยมีรายละเอียดระยะทางรวม ดังนี้

      1. ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 934.7 กิโลเมตร
      2. ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 929.5 กิโลเมตร
      3. ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 933.9 กิโลเมตร
      4. ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 926.4 กิโลเมตร
      5. ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 945.4 กิโลเมตร
      6. ลูกค้าผู้ชนะ รุ่น ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี น้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางรวมกว่า 930.8 กิโลเมตร

      นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ Honda e:HEV ที่เข้าร่วมกิจกรรมฯ ยังร่วมแบ่งปันเคล็ดลับการขับประหยัดน้ำมันมาฝาก เพื่อให้สามารถขับขี่ได้อย่างประหยัดยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน และเชิญชวนลูกค้าที่สนใจให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Honda e:HEV ไปด้วยกัน

      คุณชัยชนะ พูลพิพัฒน์ ลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี กล่าวว่า“เคล็ดลับของผม คือ เน้นการขับขี่ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยใช้ความเร็วที่ประมาณ 60 ถึง 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ได้อัตราการประหยัดน้ำมันที่ดี ในทางเรียบอาจจะไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก แต่ในช่วงเวลาที่ขึ้นหรือลงเนินเขา จะต้องจับจังหวะการหน่วงให้ดี  โดยช่วงขึ้นเขาอาจจะใช้โหมด ECON รวมถึงให้รถขยับช้า ๆ เพื่อให้เป็นไฟฟ้า และในจังหวะที่ลงเขาก็จะให้รถชาร์จไฟกลับ น่าจะเป็นระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลฯ ที่ผมแทบจะไม่ได้ใช้น้ำมันเลย ทำให้ได้ตัวเลขอัตราการประหยัดน้ำมันที่ดีมาก

      ด้านลูกค้าผู้ใช้รถยนต์ ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี คุณครรชิต จุดประสงค์ กล่าวว่า “ในระหว่างการแข่งขัน
      ผมได้ใช้ความสามารถทั้งของรถ และความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ เพื่อจะทําให้อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันที่ดีขึ้น จากตอนแรกอยู่ที่ 26 กิโลเมตรต่อลิตร ก็ค่อยๆ ไต่ขึ้นไปที่ 26.4 และจบที่ 27 กิโลเมตรต่อลิตร สูงสุดเท่าที่เคยทําได้เลยครับ ประทับใจมากๆ ตอนซื้อรถมา คิดไว้แล้วว่าถ้าซื้อรถใหญ่ อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันก็จะต้องมากขึ้นแน่นอน แต่พอมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ ก็พิสูจน์ได้จริงๆ ว่าแม้รถจะใหญ่ แต่ก็ยังประหยัดน้ำมันมากๆ ปกติแล้วผมจะขับในกรุงเทพฯ หลังจากนี้ก็จะนำวิธีการที่ใช้ในการแข่ง ไปใช้ตอนขับในชีวิตประจําวันด้วยครับ”

      คุณเอกพจน์ บุญหนู แชร์ถึงเทคนิคและความประทับใจต่อ ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี ของตนเองว่า “เทคนิคของผม คือ ในช่วงการขับขี่ขึ้นเขา ผมจะเร่งความเร็วส่งขึ้นไป พอถึงช่วงประมาณ 3/4 ของเนิน ผมจะยกคันเร่งออก ให้ความเร็วค่อยๆ ลด แล้วค่อยๆ เติมคันเร่งไปทีละนิดเพื่อให้ไปถึงยอดเขา พอถึงยอดเขาก็จะปล่อยให้รถไหลลง และค่อยเติมคันเร่งให้มีแรงส่งออกไปครับ โดยรวมความประทับใจต่อรถคันนี้ คือ ให้ทั้งความประหยัด สะดวกสบาย และการขับขี่ที่มั่นคง ผมตัดสินใจไม่ผิดเลยที่มาเป็นครอบครัว Honda e:HEV ขอขอบคุณฮอนด้ามากครับที่จัดกิจกรรมดีๆ แบบนี้ ให้ลูกค้าได้ร่วมสนุกกันครับ”

      กิจกรรม ‘Honda e:HEV Challenge ประหยัด… ไปถึงไหนนน!’ ได้พิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า รถยนต์ Honda e:HEV ทุกรุ่น สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านสมรรถนะการขับขี่ที่ดีเยี่ยม และด้านอัตราประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ พร้อมทั้งสามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างไร้กังวล โดยน้ำมันเพียงถังเดียวก็สามารถพาคุณไปได้ไกลกว่าที่คิดในทุก ๆ เส้นทาง เหมาะกับการขับขี่ทั้งในเมืองและเดินทางไกล ลดความกังวลเมื่อต้องเดินทางไกลแบบไม่ต้องเผื่อเวลาชาร์จ

      ลูกค้าท่านใดที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์ Honda e:HEV หรือรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของฮอนด้า สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและข้อเสนอพิเศษได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777 โดยสามารถลงทะเบียนทดลองขับล่วงหน้าก่อนตัดสินใจเป็นเจ้าของได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ ผ่านทาง  www.honda.co.th/testdrive

      หมายเหตุ:
      *อัตราการประหยัดน้ำมันที่ได้จากการทดสอบโดยลูกค้าผู้ใช้จริง ผ่านเส้นทางกรุงเทพฯ – พิษณุโลก – เชียงใหม่ เป็นระยะทางรวมไม่ต่ำกว่า 900 กิโลเมตร อ้างอิงจากการขับขี่และวัดผลในกิจกรรมระหว่างวันที่ 6 – 8 กันยายน 2567 (ขึ้นอยู่กับสภาพถนน และพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล)

      **ฟังก์ชันการทำงานของเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) แต่ละระบบ แตกต่างกันในแต่ละรุ่น

      ข้อมูลอัตราประหยัดน้ำมันและระยะทางการวิ่ง

      รุ่นรถยนต์ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)อัตราประหยัดน้ำมันสูงสุดระยะทางการวิ่ง
      (ทดสอบตามมาตรฐาน UN R101  ในห้องปฏิบัติการ)(ขึ้นอยู่กับสภาพถนนและพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ะบุคคล)
      ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี4027.8 กม./ ลิตรวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร
      ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก อี:เอชอีวี40
      ฮอนด้า เอชอาร์-วี อี:เอชอีวี4025.6 กม./ ลิตรวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร
      ฮอนด้า ซีวิค อี:เอชอีวี4025.0 กม./ ลิตรวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร
      ฮอนด้า แอคคอร์ด อี:เอชอีวี48.525.0 กม./ ลิตรวิ่งได้ไกลกว่า 900 กิโลเมตร
      ฮอนด้า ซีอาร์-วี อี:เอชอีวี5720.8 กม./ ลิตร (รุ่น e:HEV ES) 19.2 กม./ ลิตร (รุ่น e:HEV RS 4WD)วิ่งได้ไกลกว่า 900 กิโลเมตร

      หมายเหตุ:
      ตัวเลขระยะทางที่แสดงข้างต้น อ้างอิงและไม่เกินจากการคำนวณตาม Eco Sticker (ขึ้นอยู่กับสภาพถนน และพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละบุคคล)


      บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA ผู้นำธุรกิจยานยนต์ และโมบิลิตี้ครบวงจร จัดทัพยนตรกรรมยอดนิยมในเครือนำโดย XPENG, ZEEKR, Honda และ Harley-Davidson ร่วมงาน BIG MOTOR SALE 2024 ชูไฮไลท์ยานยนต์หลากรุ่น ระดับ ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ อาทิ XPENG G6 ยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะพรีเมียม-ไฮเทค, ZEEKR X และ ZEEKR 009 ยานยนต์ไฟฟ้าพรีเมี่ยม-ลักชัวรี่, New Honda Civic สปอร์ตเร้าใจ และมอเตอร์ไซค์ Harley-Davidson ใหม่ พาเหรดมาให้เหล่าแฟนแบรนด์ได้สัมผัส พร้อมมอบโปรโมชั่นร้อนแรงแห่งปี เฉพาะในงาน BIG MOTOR SALE 2024 วันนี้ถึง 1 กันยายน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

      เริ่มจาก บริษัท เอ็กซ์ โมบิลิตี้ พลัส จำกัด นำเสนอยานยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะระดับพรีเมี่ยม-ไฮเทค XPENG รุ่น G6 อัลตราสมาร์ทเอสยูวีคูเป้ นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 100% มาพร้อมกับเทคโนโลยี A.I.ที่ช่วยให้อุ่นใจ และสะดวกสบาย โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี 800V Silicon Carbide (SiC) Architecture ชาร์จไฟได้เร็วกว่ารถไฟฟ้าทั่วไป 2 เท่า ชาร์จไฟ 10 นาที ขับได้ไกลสุด 300 กิโลเมตร, ระบบช่วยจอดอัตโนมัติระบบ ADAS (Advanced Driver Assistance Systems) ล้ำสมัยที่สุดให้สัมผัสอย่างใกล้ชิด ทุกสี ทุกรุ่น พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษด้วยราคาเกินห้ามใจ รุ่น G6 Standard Range ราคา 1,439,000 บาท* และ G6 Long Range ราคา 1,599,000 บาท*

      MGC-ASIA

      รับข้อเสนอจัดเต็มเมื่อจอง XPENG G6 ภายในงาน

      • ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี มูลค่า 30,000 บาท* (ส่งมอบภายใน 31 ตุลาคม 2567), ติดตั้งWall Box ขนาด 7.4 kW มูลค่า 35,000 บาท* ฟรี! Premium Roadside Assistance 5 ปี* และเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบพกพา มูลค่า 6,000 บาท*
      • XPENG x OR Collaboration รับส่วนลดราคาชาร์จ 15%* สำหรับการชาร์จไฟที่สถานีชาร์จ EV Station Pluz* และสถานี DC Charger ที่โชว์รูม XPENG ทั่วประเทศ*
      • Vehicle Warranty 5 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร*
      • Battery Warranty 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร*

      MGC-ASIA

      ยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม-ลักชัวรี่ ZEEKR โดย บริษัท ซี โมบิลิตี้ พลัส จำกัด เชิญสัมผัส และเปิดประสบการณ์ใหม่ กับ ZEEKR X  และ ZEEKR 009 โดยเฉพาะ ZEEKR 009 เอ็มพีวี ดีไซน์ที่สุดแห่งแรงบันดาลใจในการสรรสร้างสุนทรียภาพของการเดินทางรูปแบบใหม่ สะท้อนทุกความหรูหราเหนือระดับ เช่นเดียวกับ ZEEKR X เอสยูวีหรูหรา ขนาดกะทัดรัดที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคปัจจุบัน เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาการเดินทางรูปแบบใหม่กับราคาดี Standard RWD เริ่ม 1,199,000 บาท* และ Flagship AWD เริ่ม 1,349,000 บาท*

      MGC-ASIA

      รับข้อเสนอสุดพิเศษ เมื่อจอง ZEEKR X ภายในงาน

      • ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี*
      • รับประกันคุณภาพ 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร*
      • รับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร*
      • บริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง*
      • ฟรี “VReMT” Wallboxมูลค่า 50,000 บาท*

      MGC-ASIA

      บริษัท ซัมมิท ฮอนด้า ออโตโมบิล จำกัด จัดยนตรกรรมแดนซามูไร ภายใต้แนวคิด ‘BIG DEAL BIG SURPRISE’ ชูรุ่นฮอต New Honda Civic ตัวตนความสปอร์ตใหม่โดดเด่นเกินใครกับ 2 ขุมพลัง Full Hybrid e:HEV และ VTEC TURBO มีให้เลือก 3 รุ่นย่อยคือ EL+, e:HEV EL+ และ e:HEV RS พร้อมเปิดให้จับจองเป็นเจ้าของด้วยข้อเสนอพิเศษภายในงาน

      MGC-ASIA

      Honda CR-V Turbo

      • ดอกเบี้ยผ่อนชำระ 0%*, ฟรี! ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี*, แพ็กเกจเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร*, Honda Exclusive Care และข้อเสนอพิเศษรถเก่าแลกซื้อรถใหม่ รับเพิ่มบัตรน้ำมันมูลค่า 20,000-40,000 บาท* ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2567 รวมถึง ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ ขยายเวลารับประกันคุณภาพรถใหม่ และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมงอีก 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร รวมเป็น 5 ปีหรือ 140,000 กิโลเมตร* เมื่อจอง และรับรถภายในงาน

      Honda City e:HEV

      • e:HEV SV ราคาเริ่มต้น 729,000 บ., e:HEV RS ราคาเริ่มต้น 799,000 บ.
      • ผ่อนสบายเริ่มต้นเดือนละ 7,265บาท*, ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99%* พร้อมประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี* และรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี* เมื่อจอง และรับรถตั้งแต่วันนี้ถึง 1 กันยายน 2567

      Honda WR-V

      • ดอกเบี้ยผ่อนชำระ 0%*, ฟรี! Honda Exclusive Care มูลค่ารวม 75,000 บาท*, ประกันภัยชั้นหนึ่ง นาน 1 ปี*, แพ็กเกจเช็กระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร* และฮอนด้า อัลติเมท แคร์ ขยายเวลารับประกันคุณภาพรวมเป็น 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร* เมื่อจอง และรับรถภายในงาน

      MGC-ASIA

      ปิดท้ายที่บูธของ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ออฟ ธนบุรี มาในแนวคิด ‘ORANGE & BLACK’ ยกขบวนรถมอเตอร์ไซค์ ‘ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน’ ไฮไลท์ อาทิ ALL-NEW STREET GLIDE และ ROAD GLIDE ปี 2024, LOW RIDER ST สีพิเศษ Tobacco fade, ตระกูล CRUISER ทั้ง STREET BOB, FAT BOB และตระกูล SPORT ทั้ง NIGHTSTER และ SPORTSTER S เพื่อเหล่าไบเกอร์โดยเฉพาะ

      รับโปรโมชั่นสุดคุ้ม เมื่อจอง ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน หลากรุ่น ภายในงาน

      MGC-ASIA

           CRUISER

      • รับของแต่งมูลค่า 140,000 บาท* ยกเว้นรุ่น LOW RIDER ST

           NIGHTSTER

      • ผ่อนสบาย 6,032 บาท นาน 72 เดือน*, ฟรี! ชุดแต่งลำโพง ROCKFORD FOSGATE*, ดอกเบี้ยผ่อนชำระ 0%* นาน 60 เดือน*

      สำหรับ ฮาร์ลี่ย์-เดวิดสัน ทุกรุ่น

      • เพิ่มมูลค่ามอเตอร์ไซค์เก่า เทรด-อิน สูงสุด 100,000 บาท*, เรียนขับขี่ H-D SRT 1 ครั้ง* สมาชิก H.O.G 1 ปี และชุดอุปกรณ์ Welcome Kits*, สินค้าเสื้อผ้า ลดสูงสุด 50%* และบัตรกำนัล จาก MGC-MOBILIFE*

      เชิญร่วมสนุกกับ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน โฟโต้ คอนเทสท์ ลุ้นรับเสื้อยืด ลิขสิทธิ์แท้ 2 รางวัล ภายในงาน

      MGC-ASIA

      สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

      Line : @summithonda, FB : summit honda, IG : @summithonda

      • ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน สาขาธนบุรี (วงเวียนพระราม 5-ราชพฤกษ์)โทร. 02-032-7200, FB:HarleyDavidsonofThonburi

      พิเศษ!! ลูกค้าสมัครสมาชิก MGC-MOBILIFE รับทันที 1,000 คะแนนเมื่อออกรถรับคะแนนสะสม
      (ทุก 100 บาท = 1 คะแนน) เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษมากมาย อาทิ ตั๋วเครื่องบิน, บริการเช่าเหมาลำเรือ , ที่พักโรงแรมหรู, ร้านอาหารชั้นนำ และอีกมากมาย

      *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด

      บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยบนท้องถนนและการส่งมอบยนตรกรรมคุณภาพที่มาพร้อมความปลอดภัยสูงสุดแก่ลูกค้า ตอกย้ำความมั่นใจในมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์ฮอนด้า ด้วยการคว้า 4 รางวัลด้านความปลอดภัย จาก ASEAN NCAP Grand Prix Awards 2024 นำโดย 2 รางวัล Excellence Award ในฐานะแบรนด์ที่สามารถรักษามาตรฐานความปลอดภัยยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาวต่อเนื่องครอบคลุมในทุกรุ่น ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2566 (Consistent 5-Star Ratings Across All Models 2021-2023) และเป็นแบรนด์ที่มีรถยนต์ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวจำนวนมากที่สุด ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2566 (Most 5-Star Ratings 2021-2023) พร้อมกันนี้ ฮอนด้า ซีอาร์-วี ยังได้รับรางวัลการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ที่ดีที่สุด (Best Safety Performance in Adult Occupant Protection: AOP) และฮอนด้า ซีวิค ได้รับรางวัล Excellence Award ในการเป็นรถซีดานที่ดีที่สุด โดยความสำเร็จครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งมอบยนตรกรรมคุณภาพที่มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย อีกทั้งตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับความปลอดภัยของยานพาหนะในภูมิภาคอาเซียนไปอีกขั้น สอดคล้องกับเป้าหมายของฮอนด้าในการสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุ และลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์ (Zero Traffic Collision Fatalities) ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ภายในปี พ.ศ. 2593 (Honda Target 2050)

      สำหรับ 4 รางวัล ASEAN NCAP Grand Prix Awards 2024 ที่ฮอนด้าได้รับ ได้แก่

      • แบรนด์รถยนต์ฮอนด้า ได้รับรางวัลความปลอดภัยยอดเยี่ยม (Excellence Award) จำนวน 2 รางวัล
      • แบรนด์ที่สามารถรักษามาตรฐานความปลอดภัยยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาวได้อย่างต่อเนื่อง
        ครอบคลุมในทุกรุ่น ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2566
        (Consistent 5-Star Ratings Across All Models 2021-2023) แม้จะมีการปรับหลักเกณฑ์การประเมินผลแบบใหม่สำหรับปี พ.ศ. 2564-2568 (ASEAN NCAP Roadmap 2021-2025) ที่เข้มงวดขึ้นกว่าครั้งที่ผ่านมา
      • แบรนด์ที่มีรถยนต์ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวจำนวนมากที่สุด ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2566 (Most 5-Star Ratings 2021-2023)
      • ฮอนด้า ซีอาร์-วี เจเนอเรชันที่ 6 ได้รับรางวัลการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ที่ดีที่สุด (Best Safety Performance in Adult Occupant Protection: AOP) และยังได้รับคะแนนรวมสูงสุดจากการทดสอบ โดยรุ่นที่นำไปใช้ในการทดสอบครั้งนี้ เป็นซีอาร์-วี รุ่นที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งได้ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาว เมื่อปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา
      • ฮอนด้า ซีวิค เจเนอเรชันที่ 11 ได้รับรางวัลความปลอดภัยยอดเยี่ยม (Excellence Award) ในการเป็นรถซีดานที่ดีที่สุด (Best Sedan) ซึ่งพิจารณาจากคะแนนด้านความปลอดภัยโดยรวมในหลายด้าน
        โดยฮอนด้า ซีวิค ได้รับคะแนนรวมสูงสุดในกลุ่มรถซีดาน

      สำหรับงาน ASEAN NCAP (New Car Assessment Program for Southeast Asian) Grand Prix Awards 2024 เป็นงานที่จัดขึ้นทุก 2 ปี เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จในการคว้ามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดของแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ รวมทั้งมุ่งส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนนและสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยให้เพิ่มสูงขึ้นในอาเซียน

      ความสำเร็จครั้งนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของฮอนด้า ในการนำเสนอและส่งมอบยนตรกรรมคุณภาพที่มาพร้อมเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอันล้ำสมัย เพื่อความปลอดภัยสูงสุดทั้งสำหรับผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนน
      ทุกคน สอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้างสังคมปลอดอุบัติเหตุและลดการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทั่วโลกให้เป็นศูนย์ (Zero  Traffic Collision Fatalities) ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนภายในปี
      พ.ศ. 2593 (Honda Target 2050) โดยฮอนด้าจะยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพ
      เพื่อส่งมอบยนตรกรรมที่มอบความสะดวกสบายควบคู่กับความปลอดภัยสูงสุดต่อไป

      ปี ค.ศ.ประเภทรางวัลรุ่น/เทคโนโลยี
      2024สมรรถนะด้านความปลอดภัยในด้าน การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ที่ดีที่สุดซีอาร์-วี (รุ่นปี 2023)
      ความปลอดภัยยอดเยี่ยม  รถซีดานที่ดีที่สุดซีวิค (รุ่นปี 2021)
      แบรนด์ที่สามารถรักษามาตรฐานความปลอดภัยยอดเยี่ยมระดับ 5 ดาวต่อเนื่อง ครอบคลุมในทุกรุ่น ระหว่างปีพ.ศ. 2564 – 2566รถยนต์ฮอนด้า ได้แก่ ซีวิค บีอาร์-วี เอชอาร์-วี
      และซีอาร์-วี
      แบรนด์ที่มีรถยนต์ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาว จำนวนมากที่สุด ระหว่างปีพ.ศ. 2564 – 2566รถยนต์ฮอนด้า ได้แก่ ซีวิค เอชอาร์-วี บีอาร์-วี ดับเบิลยูอาร์-วี และซีอาร์-วี
      2020สมรรถนะด้านความปลอดภัยยอดเยี่ยมคะแนนรวมแอคคอร์ด (รุ่นปี 2019)
      การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่
      การปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก
      อาเซียน เอ็นแคป ยอดเยี่ยมรถยนต์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวต่อเนื่องซิตี้ (รุ่นปี 2020)
      2018อาเซียน เอ็นแคป ยอดเยี่ยมรถยนต์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวต่อเนื่องซีอาร์-วี (รุ่นปี 2017)
      สมรรถนะด้านการปกป้องจากการชนรถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ที่ดีที่สุด ในส่วนการปกป้องผู้โดยสาร
      ที่เป็นเด็ก
      2016สมรรถนะด้านการปกป้องจากการชนรถยนต์ซีดานขนาดกลางสำหรับครอบครัวที่ดีที่สุด ในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ซีวิค (รุ่นปี 2016)  
      รถยนต์ซีดานขนาดกลางสำหรับครอบครัวที่ดีที่สุด ในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็ก
      เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ดีที่สุด จากผู้ผลิตรถยนต์เทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING)
      รางวัลรถยนต์ระดับ 5 ดาว ด้วยราคา
      ที่น่าเป็นเจ้าของที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
      รางวัลระดับ 5 ดาว ด้วยราคาที่น่าเป็นเจ้าของในประเทศกัมพูชา ลาว และเวียดนามซิตี้ (รุ่นปี 2014)
      รางวัลระดับ 5 ดาว ด้วยราคาที่น่าเป็นเจ้าของ ในประเทศฟิลิปปินส์แจ๊ซ (รุ่นปี 2014)
      รางวัลระดับ 5 ดาว ด้วยราคาที่น่าเป็นเจ้าของในประเทศบรูไนและสิงคโปร์เอชอาร์-วี (รุ่นปี 2015)
      รางวัลระดับ 5 ดาว ด้วยราคาที่น่าเป็นเจ้าของในประเทศอินโดนีเซียบีอาร์-วี (รุ่นปี 2016)
      2014สมรรถนะด้านการปกป้องจากการชนรถยนต์ซีดานขนาดกลางสำหรับครอบครัวที่ดีที่สุดในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นเด็กซิวิค (รุ่นปี 2013)
      คะแนนรวมที่ดีที่สุดในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ซิตี้ (รุ่นปี 2014)
      รถยนต์ซีดานขนาดเล็กสำหรับครอบครัวที่ดีที่สุดในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่
      รถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ที่ดีที่สุดในส่วนการปกป้องผู้โดยสารที่เป็นผู้ใหญ่ซีอาร์-วี (รุ่นปี 2013)  
      รถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์ที่ดีที่สุดในส่วนการปกป้องผู้โดยสาร
      ที่เป็นเด็ก
      เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ดีที่สุดจากผู้ผลิตรถยนต์ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)

      เกี่ยวกับ ASEAN NCAP

      การทดสอบการชนเพื่อทดสอบสมรรถนะด้านความปลอดภัยของรถยนต์ของ ASEAN NCAP (ASEAN New Car Assessment Program) เป็นส่วนหนึ่งของโครงการประเมินสมรรถภาพรถยนต์ใหม่ หรือ NCAP (New Car Assessment Program) มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนน กระตุ้นให้เกิดการรับรู้และเห็นถึงความสำคัญของการขับขี่ปลอดภัย รวมถึงสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่มีเทคโนโลยีความปลอดภัยเพิ่มสูงขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ประชาคมอาเซียน) ทั้งนี้ การทดสอบมาตรฐานความปลอดภัยจากการทดสอบการชนของ ASEAN NCAP เป็นการดำเนินงานร่วมกันระหว่าง ASEAN NCAP และสถาบันวิจัยยานยนต์ประเทศญี่ปุ่น (JARI)

      ฮอนด้า คว้า 2 รางวัล จากงาน Thailand Car of the Year 2023

      บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ขอขอบคุณทุกความเชื่อมั่นของลูกค้าและสื่อมวลชนไทยที่ให้ความไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และแบรนด์ฮอนด้า เผยความสำเร็จอีกขั้นกับการรับมอบ 2 รางวัล จากงานมอบรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2566 (Thailand Car of the Year 2023) ที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย (สรยท.) นำโดย ฮอนด้า ซีอาร์-วี ใหม่ แฟลกชิปเอสยูวียอดนิยมที่ได้รับรางวัล รถยนต์ยอดเยี่ยมประจำปี 2566 (Thailand Car of the Year 2023) ซึ่งรางวัลอันทรงเกียรตินี้ เป็นผลจากการลงคะแนนคัดเลือกรถยนต์ ตามกฎกติกาสากลที่สมาคมฯ กำหนดไว้ และได้จัดการทดสอบรถยนต์ภาคสนาม โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและสื่อมวลชนที่มีประสบการณ์ด้านยานยนต์ และได้พิจารณาในหลายด้าน อาทิ การออกแบบภายนอกและภายใน ประโยชน์ใช้สอย ระบบความปลอดภัย สมรรถนะการขับขี่และเทคโนโลยีต่างๆ รวมไปถึงพัฒนาการของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และบริการหลังการขายอีกด้วย พร้อมตอกย้ำตำแหน่งผู้นำในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าด้วยรางวัลเกียรติยศ Thailand Car & Motorcycle Marketing Award 2023 ได้แก่ รางวัลผู้จำหน่ายรถยนต์กลุ่ม xEV สูงสุดประจำปี 2565 (Highest Sales in xEV Segment in 2022) โดยมาจากยอดจำหน่ายของรถยนต์ฟูลไฮบริด e:HEV ของฮอนด้าในหลากหลายเซกเมนต์ในตลาดรถยนต์ประเทศไทย (มกราคม – ธันวาคม 2565) สะสมรวมกว่า 26,660 คัน* ครองส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่ม xEV กว่า 30%* ซึ่งระบบฟูลไฮบริด e:HEV นับเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมที่สุดกับการใช้งานในปัจจุบัน พร้อมส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยมจากการผสานพลังขับเคลื่อนหลักจากมอเตอร์ไฟฟ้า โดยทุกรุ่นมาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Honda SENSING ซึ่งทั้ง 2 รางวัลที่ได้รับ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการยอมรับของลูกค้าต่อแบรนด์ในฐานะผู้นำที่พัฒนาและนำเสนอยนตรกรรมคุณภาพที่มาพร้อมเทคโนโลยีการขับเคลื่อนและความปลอดภัยอันล้ำสมัยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างลงตัว ควบคู่ไปกับการบริการหลังการขายผ่านเครือข่ายศูนย์บริการที่ได้มาตรฐานและครบวงจรครอบคลุมทั่วประเทศ

      ลูกค้าที่สนใจสามารถสัมผัสกับยนตรกรรมฮอนด้า ทั้งในกลุ่มยนตรกรรมฟูลไฮบริด e:HEV และยนตรกรรมรุ่นยอดนิยมอื่น ๆ ที่จัดเต็มข้อเสนอสุดพิเศษ** ทั้งแคมเปญ “โปรแรงฮอนด้าส่งท้ายปี ข้อเสนอเดียวกับ Motor Expo”** ด้วยดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 0% หรือดาวน์ 0% หรือฮอนด้าช่วยผ่อนนาน 12 เดือน พร้อม Honda Exclusive Care หรือทางเลือกพิเศษ Double Smile Plus** ดาวน์น้อยเริ่มต้นเพียง 5% ผ่อนนานเริ่มต้นเพียงเดือนละ 5,357 บาท รวมถึงแคมเปญ “Honda Double Happy, Double Lucky ซื้อรถฮอนด้าวันนี้ แฮปปี้คูณสอง”** ได้ที่
      บูทฮอนด้า (A15) ภายในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 40 หรือ Thailand International Motor Expo 2023 ณ อาคาร
      ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2566 โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากที่ปรึกษาการขายโชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ หรือแชตกับที่ปรึกษาการขายทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.honda.co.th หรือติดต่อศูนย์บริการข้อมูลฮอนด้า 24 ชั่วโมง โทร 0 2341 7777

      อีกทั้งสามารถลงทะเบียนทดลองขับรถยนต์ฮอนด้ารุ่นใดก็ได้ ในแคมเปญ Happy Day Happy Drive ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2566 ผ่าน www.honda.co.th/testdrive ได้ที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศ รับฟรี! กระเป๋าอเนกประสงค์ (Honda Utility Bag ) มูลค่า 280 บาท**