รีวิว : MG6 ” ทดลองขับ เอ็มจี 6 ” 2 รุ่นคือ MG6 Sports fastback และ MG6 Sports saloon
ตำนานแห่งความทรงจำของรถยนต์แบรนด์ดังจากค่ายอังกฤษได้หวนคืนวงการอีกครั้งในรอบ 16 ปี ด้วยการเปิดตัว MG6 “เอ็มจี 6” ด้วยกัน 2 รุ่นคือ Sports fastback และ Sports saloon ในการกลับมาครั้งนี้มีบริษัทเอ็มจี และ เอสไอไอซี มอเตอร์ บริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่สุดในประเทศจีนและบริษัทรถยนต์อันดับ 8 ของโลกเป็นเจ้าของอยู่ และร่วมมือกับเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ของประเทศไทย พร้อมตั้งโรงงานนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์น ซีบอร์ด ซึ่งอยู่ใกล้กับท่าเรือแหลมฉบัง ในไทยแบบยั่งยืน
MG
หลังจากที่รถยนต์ MG6 “เอ็มจี 6” เปิดตัวสู่สายตาคนไทยได้ไม่นาน ทางบริษัท เอ็มจี เซลส์ ประเทศไทย จำกัด ได้จัดกิจกรรมการทดสอบให้กับสื่อมวลชนไทย เพื่อให้สัมผัสสมรรถนะอันแท้จริงของรถยนต์ในตำนานอยาง MG ซึ่งก่อนจะไปรู้จักตัวรถ ผมขอพาทุกท่านทำความรู้จักกับรถแบรนด์นี้ก่อน MG ย่อมาจาก Morris Garages เป็นแบรนด์รถยนต์สัญชาติอังกฤษที่ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2467 และบริษัท SAIC จากประเทศจีนได้เข้ามาซื้อกิจการในปี พ.ศ. 2548 แต่การดำเนินงานยังคงอยู่ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาและออกแบบ รวมถึงเทคโนโลยีต่างๆ แบรนด์ MG จึงเป็นการผสมผสานเทคโนโลยียานยนต์ของยุโรปกับความเชี่ยวชาญด้านการจัดหา ชิ้นส่วนและการควบคุมคุณภาพจาก SAIC ทั้งนี้ รถ MG เป็นที่รู้จักมากที่สุดจากการผลิตรถยนต์สปอร์ตเปิดประทุน 2 ที่นั่ง อีกทั้งมีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลหลายรุ่นที่ส่งไปจำหน่ายทั่วโลก
MG6
ณ ปัจจุบันรถ MG เปิดตัว MG6 “เอ็มจี 6” ออกมาภายใต้ปรัชญาในการพัฒนา ‘บริท ไดนามิก’ (Brit Dynamic) ซึ่งเป็นการรวมองค์ประกอบเด่นอยู่ 4 อย่างคือ การออกแบบ, การควบคุมที่ดี, สมรรถนะ และความปลอดภัย เพื่อให้ออกมาเป็น MG6 หากมองเรื่องของการดีไซน์ต้องบอกว่าคำนึงถึงหลักอากาศพลศาสตรที่ดีเป็นต้นทุน ต่อมาจึงถ่ายทอดความเป็น MG ลงไปตั้งแต่การวางโลโก้ “MG” อันโดดเด่นไว้กลางกระจังหน้าขนาบไว้ด้วย ไฟหน้าโคมดำที่ยังซ่อนไฟสูง ไฟต่ำ ไฟหรี่ และไฟเลี้ยวเอาไว้ด้านใน ขยับลงมาที่ด้านล่างของกันชนหน้า จะเห็นช่องรับลมระบายความร้อนขนาดใหญ่พร้อมดีไซน์ตะแกรงรังผึ้งกันหินดีดแบบสปอร์ต และไฟตัดหมอกทรงสี่เหลี่ยมคางหมูที่มีดีไซน์ฝาครอบที่แปลกตาแต่แฝงไว้ด้วยดีไซน์ที่งดงาม ขยับมาที่ด้านข้างเส้นสายการออกแบบเปี่ยมด้วยพลัง บนหลังคามาพร้อม Sunroof ที่บ่งบอกถึงความหรูหราอย่างเต็มตัว ส่วนด้านท้ายถือว่าเป็นจุดเด่นอย่างมากในสายตาผม เนื่องจากการดีไซน์ให้ที่ลาดยาวสร้างความอ่อนช้อยให้ตัวรถ พร้อมสปอยเลอร์ดักลมกดท้ายเล็กๆ ที่ฝากระโปรงท้ายทำให้เกิดความสปอร์ตเมื่อได้เห็น การออกแบบไฟท้ายที่ใช้ LED ฝังไว้ในโคมแบบรังผึ้งทำให้เวลาที่คุณเหยียบเบรกดูงดงามมากขึ้น ส่วนด้านล่างกันชนท้ายวางไฟเบรกดวงที่ 3 ไว้ พร้อมทั้งปลายท่อทรงสปอร์ต
รุ่น Sports fastback
คันที่ผมได้สัมผัสเป็นรุ่น Sports fastback ซึ่งใช้เครื่องยนต์ Kavachi แบบ 4 สูบ 16 วาว์ล 1.8 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จ อินเตอร์คูลเลอร์ ที่ให้กำลังดั่งใจสั่ง สามารถให้กำลังสูงสุด 161 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุดที่ 215 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 2,000-4,500 รอบต่อนาที
ส่งกำลังสู่การขับเคลื่อนล้อหน้า ผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบคลัชต์คู่ (DCT – Dual Clutch Transmission) ที่ช่วยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้ในเวลา 0.2 วินาที พร้อมติดตั้งแพดเดิลชิฟท์ที่พวงมาลัยในรุ่นท๊อป โดยสามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาไม่ถึง 9 วินาที จากที่ผมสัมผัสในส่วนของอัตราเร่งถือว่าไหลลื่นต่อเนื่องมากกว่ากระชากจนหลังติดเบาะตามสไตล์ของรถเทอร์โบ เนื่องจากการทำงานของระบบเกียร์แบบคลัชต์คู่ “ชนิดเปียก” (มีน้ำมันหล่อลื่น) ทำให้จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ทำได้เร็วและราบเรียบมากขึ้น ประกอบกับแรงบิดที่มีช่วงกว้าง เมื่อเรากดคันเร่งออกไปความไหลลื่นของอัตราเร่งจึงไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนสามารถไปแตะ 200 กม./ชม. แบบไม่ยากเย็น
ความนุ่มนวลในการขับขี่บนพื้นฐานการทรงตัวที่ดีเยี่ยม
โดยที่คุณจะรู้สึกปลอดภัยในการควบคุมด้วย เพราะนี่คือเสน่ห์ของ “MG” ที่พัฒนาขึ้นมาจากการออกแบบแชสซี โดยทีมงานฝ่ายออกแบบและวิศวกรพัฒนาแพลตฟอร์มที่ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่บนพื้นฐานการทรงตัวที่ดีเยี่ยม โครงสร้างตัวถังโลหะแบบชิ้นเดียว (Monocoque) ที่ให้ความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
รวมไปถึงเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ที่ช่วยในการรักษาการควบคุมตัวของรถในยามเข้าโค้งอย่างรุนแรง
ช๊อคอัพได้รับการปรับแต่ง เพื่อให้ได้จุดสมดุลที่สุดระหว่างระยะอัดและระยะคืนตัวของช๊อคอัพ ช่วงล่างแมคเฟอร์สัน สตรัทที่ด้านหน้า และมัลติลิงค์แบบซี-ไทป์ (Z-Type) ที่ด้านหลัง มาพร้อมระบบป้องกันการสั่นสะเทือนแบบยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลือด้านการขับขี่แบบอีเลกทรอนิกที่ครอบคลุมทั่วทั้งคันรถ เช่น ระบบช่วยควบคุมแรงเบรกเมื่อรถไถลลื่น (VSC – Vehicle Stability Control) ระบบเพิ่มเสถียรภาพในการขับขี่โดยลดการลื่นไถล (TCS – Traction Control System) ระบบป้องกันการลื่นเมื่อเร่งความเร็ว (MSR – Motor Control Slide Retainer) ระบบช่วยควบคุมแรงดันถังเบรก (CBC – Cornering Brake Control) ระบบช่วยกระจายแรงเบรค (EBD – Electronic Brake Distribution) ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรคฉุกเฉิน (ABS – Anti-lock Braking System) ระบบตรวจสอบแรงดันยางรถยนต์อัจฉริยะ (ITPMS – Indirect Monitor Tire System) ระบบทำความสะอาดจานเบรคอัจฉริยะ (BDC – Brake Disc Cleaning) ระบบควบคุมการเบรคฉุกเฉิน (BA – Brake Assist) และระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS – Hill Start Assist System) และที่สำคัญยังมีพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฮดรอลิค ซึ่งในจุดนี้หลังจากสัมผัสแล้วสอบผ่านมากๆ ในการขับความเร็วสูง ควบคุมบังคับได้ดีมาก แต่ในความเร็วจาก 0-30 กม./ชม. จะรู้สึกว่าหนักมากๆ ผมถามวิศวกรว่าทำไมเป็นแบบนี้ เค้าบอกว่านี้คือเสน่ห์ที่แท้จริงของ MG ปกติคนไทยจะชินกับพวงมาลัยเพาเวอร์แบบ ESP หรือเพาเวอร์ไฟฟ้า ซึ่งจะทำงานจากเบาเมื่อความเร็วต่ำ และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในความเร็วสูง แต่พวงมาลัยเพาเวอร์ของ MG จะหนักเมื่อความต่ำ และจะพอดีควบคุมง่ายในความเร็วสูง ซึ่งเทคนิคนี้เป็นการถ่ายทอดพันธุกรรมความสปอร์ตจากสนามแข่งของ MG
ภายใน
ส่วนภายในเบาะที่นั่งหนังแบบสปอร์ต ที่มาพร้อมระบบปรับแบบไฟฟ้าสำหรับที่นั่งผู้ขับขื่ ที่ปรับอากาศแบบอัตโนมัติปรับแยกซ้าย-ขวา (ดูอัลโซน) กระจกไฟฟ้าแบบสัมผัสเพียงครั้งเดียวทั้ง 4 บาน รวมไปถึงระบบความบันเทิงในตัวรถ ที่รวมไปถึงวิทยุ, เครื่องเล่นซีดี, เอ็มพี3, ช่องเชื่อมต่อยูเอสบีและ Aux-in เซ็นเซอร์ช่วยกะระยะในการถอยจอดที่ด้านหลัง ถูกติดตั้งมาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัต (ครูส คอนโทรล) ที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พวงมาลัยแบบมัลติฟังชั่นส์และระบบควมคุมไฟส่องสว่างแบบอัตโนมัติ พร้อมความสะดวกสบายและพื้นที่ใช้สอยสำหรับผู้โดยสาร 5 ที่นั่ง มีพื้นที่วางขาขนาดใหญ่สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด พร้อมด้วยจุดยึดเก้าอี้สำหรับเด็ก ที่สำคัญเบาะที่นั่งตอนหลังที่สามารถปรับพับลงมาได้ ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลังจากปริมาตร 472 ลิตร เพิ่มเป็น 1,272 ลิตร เพื่อใช้ในการขนสัมภาระขนาดใหญ่
สุดท้ายต้องบอกว่ารถ MG6 “เอ็มจี 6” เป็นรถที่คุณต้องลองขับเองว่าชอบหรือไม่ ในส่วนของตัวรถ MG สามารถใส่อัตลักษณ์ตัวตนสัญชาติอังกฤษได้ทุกอนูจริงๆ ส่วนตัวผมสัมผัสได้ถึง “ความสามารถในควบคุมรถได้เป็นอย่างดี สมรรถนะที่ไหลลื่น และเสน่ห์ในอัตลักษณ์ของรถยนต์ที่มีตำนานมาเกือบ 100 ปี”
http://www.youtube.com/watch?v=k70Za9rmcc8
บทความแนะนำ
NEW MG 6 รถสปอร์ตพรีเมี่ยมที่ให้ผู้ขับขี่ได้รับรู้ถึงพลังของการควบคุม
ใหม่ MG 6 ( เอ็มจี 6 ) ยนตรกรรมนำร่องของแบรนด์ MG ในประเทศไทย