รถยนต์มิตซูบิชิ กวาด 5 รางวัล “รถยอดเยี่ยมแห่งปี”
มิตซูบิชิ ปลื้ม รถยนต์ในสังกัดตบเท้าเข้ารับรางวัล “รถยอดเยี่ยมแห่งปี 2553” ครบทุกรุ่น มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ เจ๋ง ประเดิมคว้า 2 รางวัล ในขณะที่ ไทรทัน และ ปาเจโร สปอร์ต ทำคะแนนโดดเด่นคว้ารางวัลรถกระบะยอดเยี่ยม และรถกระบะอเนกประสงค์ยอดเยี่ยมมาครอง ส่วน สเปซ แวกอน เดินหน้ารับรางวัลต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ตอกย้ำความเป็นผู้นำยนตรกรรมที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า
มร.โนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศความสำเร็จในการสร้างสรรค์รถยนต์คุณภาพอีกครั้ง หลังจากรถยนต์มิตซูบิชิทั้ง 4 รุ่น ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย ได้แก่ มิตซูบิชิ ไทรทัน มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต มิตซูบิชิ สเปซ แวกอน รวมไปถึงรถรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง มิตซูบิชิแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ สามารถคว้ารางวัล “รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2553” หรือ “Car of The Year 2010” มาครองได้ถึง 5 รางวัล จากผลการตัดสินของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2553 ที่มิตซูบิชิ ได้รับประกอบด้วย ;
ประเภทรางวัล รุ่น
1. รถยนต์นั่งยอดเยี่ยม รุ่นเครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,000 ซี.ซี.
(BEST SEDAN UNDER 2,000 c.c.) มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 2,000 ซี.ซี.
{phocagallery view=switchimage|basicimageid=232|switchheight=480|switchwidth=640}
2. รถยนต์พลังงานทางเลือกยอดเยี่ยม
(BEST FLEXIBLE ENERGY CAR) มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ 1,800 ซี.ซี.
{phocagallery view=switchimage|basicimageid=233|switchheight=480|switchwidth=640}
3. รถกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ ยอดเยี่ยม รุ่นเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,200 ซี.ซี.
(BEST PICKUP 4WD UNDER 3,200 c.c.) มิตซูบิชิ ไทรทัน 3.2 GLS 4WD
{phocagallery view=switchimage|basicimageid=236|switchheight=480|switchwidth=640}
4.รถกระบะอเนกประสงค์ยอดเยี่ยม ประเภทเครื่องยนต์ดีเซล ขับเคลื่อน 4 ล้อ
(BEST PPV DIESEL 4WD) มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต 3,200 ซี.ซี.
{phocagallery view=switchimage|basicimageid=234|switchheight=480|switchwidth=640}
5.รถอเนกประสงค์ยอดเยี่ยม
( BEST MPV ) มิตซูบิชิ สเปซ แวกอน
{phocagallery view=switchimage|basicimageid=235|switchheight=480|switchwidth=640}
สำหรับรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี จัดโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับ อาทิ สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ร.ย.ส.ท.) ซึ่งจะนำรถที่มีจำหน่ายในประเทศจากผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ มาทำการทดสอบเพื่อเฟ้นหารถยนต์ที่มีความโดดเด่นในแต่ละประเภท สำหรับหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะพิจารณาจากรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถทั้งในเรื่องของรูปลักษณ์ ความสวยงามภายนอก อรรถประโยชน์ใช้สอยภายใน สมรรถนะของตัวรถ และระบบความปลอดภัย รวมไปถึงเทคโนโลยีพิเศษ กฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม และความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานราคาที่จำหน่ายอยู่ในตลาด และส่วนที่สองจะพิจารณาจากการขับขี่จริงในสนามทดสอบตามสถานีต่างๆ ที่ได้จัดเตรียมไว้ โดยการจำลองเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งทั้ง 4 ยนตกรรมจากมิตซูบิชิ ก็สามารถผ่านด่านทดสอบ และทำคะแนนทั้ง 2 ส่วนได้อย่างโดดเด่นจนได้รับการตัดสินให้รับรางวัลดังกล่าวไปครองอย่างเป็นเอกฉันท์
มร. มูราฮาชิ กล่าวภายหลังจากการรับมอบรางวัลในปีนี้ว่า “รางวัลที่มิตซูบิชิได้รับในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่มาช่วยการันตีถึงคุณภาพของรถยนต์มิตซูบิชิรุ่นต่างๆ ที่จำหน่ายในประเทศได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทั้งรุ่น 2.0 ลิตร ที่สามารถทำคะแนนโดดเด่นกว่ารถรุ่นเดียวกันจนคว้ารางวัลรถยนต์นั่งยอดเยี่ยม รุ่นเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซี.ซี. มาครอง ในขณะที่ รุ่น 1.8 ลิตร ซึ่งมีความโดดเด่นด้านพลังงานทางเลือกเนื่องจากเป็นรถแบบ Flexible Fuel Vehicle หรือ FFV ที่รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้หลากหลายตั้งแต่เบนซินจนถึงแก๊สโซฮอล์ อี 85 นั้น ก็ได้รับการยอมรับในฐานะ “รถยนต์พลังงานทางเลือกยอดเยี่ยม” ด้วยคะแนนที่เป็นเอกฉันท์ ส่วนรถยนต์ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต รุ่น 3,200 ซี.ซี. นั้น ปีนี้ถือเป็นการคว้ารางวัลรถกระบะอเนกประสงค์ยอดเยี่ยมต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในขณะที่ มิตซูบิชิ สเปซ แวกอน คว้ารางวัลรถอเนกประสงค์ยอดเยี่ยม 6 ปี ติดต่อกัน สำหรับ 5 รางวัลที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ในครั้งนี้ นอกจากจะมีส่วนช่วยให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจในรถยนต์มิตซูบิชิได้มากยิ่งขึ้นแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมิตซูบิชิในการผลิตยนตรกรรมที่มีคุณภาพเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวไทย ได้อย่างแท้จริง ” มร. มูราฮาชิ กล่าวในตอนท้าย