ฮอนด้า เดินหน้าโครงการวิจัยเพื่อเมืองไทยไร้อุบัติเหตุ ต่อเนื่อง 4 ปี
ฮอนด้า ประกาศจัดทำโครงการวิจัย “เพื่อเมืองไทยไร้อุบัติเหตุ โดยฮอนด้า” เพื่อศึกษาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุยานยนต์ในเอเชียและโอเชียเนีย ระหว่างปี 2559-2063 นำร่องประเทศไทยเป็นแห่งแรก โดยผนึกกำลังศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย หรือ TARC ในการศึกษา 1,000 กรณีจากเหตุการณ์จริง คาดสามารถยกระดับและพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์ได้
โครงการวิจัย “ เพื่อเมืองไทยไร้อุบัติเหตุ โดย ฮอนด้า ”
ฮอนด้า จัดงานแถลงข่าว ได้รับเกียรติจาก นายกอบชัย บุญอรณะ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย มร.โนริอากิ อาเบะ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ ประจําภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย, บริษัท ฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด, ประธานกรรมการบริหารและซีอีโอ บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด คุณอารักษ์ พรประภา รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด รศ.ดร. กัณวีร์ กริษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย และ นพ.แท้จริง ศิริพาณิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ ร่วมงานแถลงข่าว
จากการที่ฮอนด้าซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายยานยนต์ มีสินค้าหลากหลายตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก ฮอนด้าได้เล็งเห็นความปลอดภัยเป็นมาตรฐานสูงสุด จึงมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนทุกภาคส่วน อาทิ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยาน ตลอดจนผู้ใช้ถนนทั่วไป ดังสโลแกนฮอนด้าทั่วโลก “Safety for Everyone” ภายใต้คำมั่นนี้ ฮอนด้าจึงมุ่งที่จะลดปัญหาความสูญเสียอันเกิดจากอุบัติเหตุจากการจราจร เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนขับรถได้อย่างเสรีและมีความปลอดภัย
ทั้งนี้พบว่าบางภูมิภาคในโลกยังมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุที่สูงมาก โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย อันเป็นที่มาของโครงการวิจัยเชิงลึกหาสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุยานยนต์ในเอเชียและโอเชียเนียครั้งนี้ ซึ่งจะเริ่มนำร่องที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรก ด้วยเป็นประเทศที่มีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงที่สุดในเอเชีย (อ้างอิงจาก Global Status Report on Road Safety 2015 โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) )
มร.อาเบะ กล่าวว่า “ฮอนด้ามีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สังคมปลอดอุบัติเหตุ” เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนมีความสุขจากการใช้ยานยนต์ ทั้งนี้อัตราการเกิดอุบัติเหตุในภูมิภาคเอเชียถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขโดยเร็ว โดยในส่วนของผู้ผลิตและจำหน่ายยานยนต์ ฮอนด้าจะทำการศึกษาวิเคราะห์เพื่อค้นหาปัจจัยต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุเพื่อนำไปสู่การการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดและเหมาะสมต่อไป เราเชื่อมั่นว่าโครงการวิจัยอุบัติเหตุในประเทศไทยครั้งนี้ จะเป็นโครงการนำร่องที่สามารถเพิ่มพูนองค์ความรู้ต่างๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยีและความรู้ด้านความปลอดภัยบนท้องถนน รวมทั้งช่วยลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุในประเทศไทยและภูมิภาคได้อย่างแน่นอน”
สำหรับโครงการวิจัยฯ ดังกล่าวจะทำการศึกษาเป็นระยะเวลา 4 ปี โดยจะศึกษาจังหวัดที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูง เช่น กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, นครราชสีมา และสงขลา โดยจะทำการศึกษาจากเหตุการณ์จริงจำนวน 1,000 กรณี ในระหว่าง พ.ศ. 2559-2563
สำหรับกระบวนการศึกษานั้น ฮอนด้าจะร่วมกับศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย หรือ TARC ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการเก็บข้อมูลอุบัติเหตุ โดยจะส่งทีม TARC ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลตามกรอบการศึกษาและระเบียบวิธีวิจัย จากนั้นจะวิเคราะห์ข้อมูลและส่งรายงานให้ฮอนด้าเพื่อวิเคราะห์และนำไปปรับใช้ในงานวิจัยและพัฒนาของตนในขั้นต่อไป โดยคาดว่าผลการศึกษาชิ้นแรกจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2560
ขั้นตอนการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลเริ่มจากทีม TARC จะแบ่งทีมลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยจะเก็บข้อมูลครอบคลุมหลายด้าน อาทิ ระดับอาการบาดเจ็บของผู้ประสบอุบัติเหตุ ระดับความเสียหายของยานยนต์ ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ที่เกิดอุบัติเหตุ สัมภาษณ์ผู้เห็นเหตุการณ์ และตรวจสอบเหตุการณ์จากกล้องวงจรปิด ซึ่งทีม TARC จะทำการบันทึก เก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดที่ได้มา และสรุปปัจจัยสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อส่งรายงานให้กับฮอนด้าเพื่อการวิเคราะห์ในขั้นต่อไป
ทั้งนี้ ฮอนด้าและทีม TARC ได้ดำเนินโครงการนำร่องโดยศึกษาอุบัติเหตุจริง 30 กรณีมาเมื่อต้นปี 2559 และโครงการศึกษาในครั้งนี้ เป็นการขยายจำนวนและพื้นที่การวิจัยให้กว้างมากขึ้นต่อยอดจากโครงการนำร่องดังกล่าว
ฮอนด้าคาดว่าข้อค้นพบจากการศึกษาในครั้งนี้ จะนำไปสู่การปฎิบัติเพื่อลดอุบัติเหตุจากการจราจร ครอบคลุมการพัฒนาเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสำหรับยานยนต์ฮอนด้าในท้องตลาด อีกทั้งช่วยปรับปรุงเนื้อหาการฝึกอบรมการขับขี่ยานยนต์ให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฮอนด้าหวังว่าโครงการวิจัยอุบัติเหตุนี้จะนำประโยชนมาสู่สังคมและสร้างจิตสำนึกการขับขี่อย่างปลอดภัยลดอุบัติเหตุได้จริงต่อไปในอนาคต