Wiper Blade “อุปกรณ์ปัดน้ำฝน” กับ “ความเชื่อผิดๆ” ที่ควรคิดซะใหม่ในการดูแล
Wiper Blade หรือ อุปกรณ์ปัดน้ำฝน คือ อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงหน้าฝนเมืองไทย ที่แทบจะต้องใช้งานกันตลอดเวลา ในขณะที่ฤดูอื่นนั้นก็เรียกได้ว่าใช้งานน้อยจนแทบจะนับครั้งได้ แต่ก็ยังน่าดีใจที่อุปกรณ์ชิ้นนี้ไม่ได้ถูก “ลืม” และยังคงให้การดูแลรักษา “อย่างดี” จนบางทีเห็นแล้วน้ำตาแทบไหล โดยเฉพาะกับการดูแลแบบผิดๆ ที่มีให้เห็นบ่อยครั้ง
ว่าด้วยเรื่องของ “อุปกรณ์ปัดน้ำฝน” หรือ Wiper Blade
อุปกรณ์ปัดน้ำฝน หน้าที่ของมันก็ไม่มีอะไรมาก นอกจาก “ปัด” น้ำฝน หรืออะไรก็ตามบนกระจกบังลมหน้า เพื่อให้มีทัศนวิสัยที่ดีในการขับขี่ โดยมี “ยางใบปัด” ทำหน้าที่กวาดอะไรก็ตามที่อยู่บนกระจกหน้าของรถ ด้วยแรงหมุนของมอเตอร์ ซึ่งยางตัวนี้เค้าก็จะมีความใกล้ชิดกับกระจกเป็นอย่างดี เพราะต้องแนบสนิทเพื่อให้ “กวาด” ได้อย่างเกลี้ยงเกลา
ส่วนอายุการใช้งานคร่าวๆ เนี่ยก็จะอยู่ราว 6 เดือนถึง 1 ปี ถึงจะเริ่มเสื่อมสภาพ โดยจะสังเกตง่ายๆ ก็คือ ถ้าปัดไม่เกลี้ยง หรือลองจับๆ ว่ายางมีลักษณะแข็ง เพราะว่าสภาพอากาศบ้านเราเนี่ยค่อนข้างที่จะร้อน โดยเฉพาะกับรถที่จอดตากแดด ในขณะที่ยางปัดน้ำฝน ซึ่งต้องแนบอยู่กับกระจกร้อนๆ ทั้งวี่ ทั้งวันล่ะก็ จะเสื่อมสภาพก่อนกำหนดไป ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
และนั่นก็คงเวลาที่ต้องเปลี่ยนยางปัดใหม่ในงบแค่หลักร้อยเท่านั้น หรือถ้าคิดว่าจะดูแลรักษา เราก็มีวิธีมานำเสนอเช่นกัน โดยวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือ การใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดแล้วเช็ดเพื่อขจัดเศษสิ่งสกปรกที่ติดอยู่กับยางปัดน้ำฝน ที่อาจทำให้เกิดรอยบนกระจกเวลาปัด ง่ายๆ แค่นั้นเองครับ
ความเชื่อผิดๆ ที่คิดว่าถูก
นอกจากวิธีง่ายๆ ที่เรานำเสนอไปข้างต้นแล้ว มันยังมีความเชื่อผิดๆ อีกอย่างในการ ดูแลรักษา ให้เห็นกันมาหลายยุค หลายสมัยเช่นกัน นั่นก็คือ “การยกก้านปัดน้ำฝน” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำเลยแม้แต่น้อย เพราะมันมีผลเสียที่อาจจะทำให้คุณเสียเงินมากกว่าการเปลี่ยนยางใบปัดแค่หลักร้อย
หลายคนคิดว่า “การยกก้านปัดน้ำฝน” คือ การถนอมยางใบปัดน้ำฝน จากความร้อนที่สะสมบนกระจกบังลมหน้า เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเงินเปลี่ยนยางใบปัดบ่อยๆ ซึ่งคำตอบคือ “ใช่” แต่ดูเหมือนจะลืมไปว่า มูลค่าหลักร้อยของยางใบปัด เมื่อเทียบกับการมูลค่าของก้านปัดน้ำฝนแล้ว อะไรสูงกว่ากัน
เพราะว่าการยกก้านปัดน้ำฝนขึ้น-ลง บ่อยๆ จะทำให้ตัวสปริงต้องรับภาระหนักเกินจำเป็น จนอาจจะทำให้สปริงล้า และเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนด เป็นผลให้แรงกดใบปัดน้ำฝนบนกระจกบังลมหน้าลดลง ทำให้ประสิทธิภาพในการปัดน้ำฝนทำได้ไม่เต็มที่ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นเปลี่ยนแค่ยางคงไม่ได้ผลแล้วล่ะครับ ทำได้อย่างเดียวก็คือต้องยกก้านใหม่กันเลยทีเดียว
หรือถ้าเกิดโชคร้ายกว่าวันดี คืนดี สปริงที่ล้าเกินไป จนไม่สามารถรั้งก้านปัดน้ำฝนให้ตั้งโด่อยู่อย่างนั้นได้อีกต่อไป เลยปล่อยให้ก้านร่วงลงมาฟาดกระจก ซึ่งคงไม่รุนแรงขนาดถึงกับทำให้แตกทั้งบานหรอกครับ แต่เอาเป็นว่าแค่ “ร้าว” ท่านเจ้าของรถก็คงอยู่ไม่สุขแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นเมื่ออ่านบทความนี้แล้วก็ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วกันครับว่าอะไรมันคุ้มกว่ากัน