บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การปูรากฐานนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืน
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ร่วมสนับสนุน “โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานกลุ่มนวัตกรรมสำหรับอนาคต”
เมื่อเร็วๆ นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า ส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ให้แก่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อร่วมสนับสนุน “โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานกลุ่มนวัตกรรมสำหรับอนาคต” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์วิจัยยานยนต์และระบบขนส่งอัจฉริยะ คณะวิศกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน มุ่งศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้พลังงานของยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงพฤติกรรมในการขับขี่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปูรากฐานไปสู่อนาคตแห่งยานยนต์ไฟฟ้าอย่างยั่งยืนในประเทศไทย
มร. คริสเตียน วิดมานน์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “หนึ่งในเสาหลักของกลยุทธ์ระดับโลกของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป คือมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างยั่งยืน ซึ่งบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมเสมอที่จะให้การสนับสนุนแก่ภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อร่วมสร้างสรรค์สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด เรามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านวัตกรรมยานยนต์ทั้งในระบบไฟฟ้าแบตเตอรี่และในระบบปลั๊กอินไฮบริดของบีเอ็มดับเบิลยู จะสามารถต่อยอดและพัฒนาระบบและโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้าอันมั่นคงในประเทศไทย ให้เติบโตควบคู่ไปกับนโยบายของภาครัฐและความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงานมากขึ้น”
“โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มนวัตกรรมสำหรับอนาคต” เป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือของศูนย์วิจัยยานยนต์และระบบขนส่งอัจฉริยะ คณะวิศกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน มุ่งวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้ยานยนต์ของผู้ขับขี่ในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และศึกษาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยของรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทย เพื่อจัดทำฐานข้อมูล ประเมินอัตราการใช้พลังงาน รวมทั้งเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลและโครงสร้างในการรองรับการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด ตอบรับกับแผนระยะยาวของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานที่ได้ตั้งเป้ายอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทยไว้ 1.2 ล้านคัน ภายในปี พ.ศ. 2579
รศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ด้วยแนวโน้มผู้ขับขี่ในประเทศไทยที่หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น เราจึงเล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาระบบและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งข้อมูลที่ได้จากโครงการวิจัยในครั้งนี้ เราได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากภาคเอกชนดังเช่นบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นไม่เพียงในด้านของการสร้างสรรค์นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความมีส่วนร่วมของบริษัทฯ กับภาครัฐ ที่จะร่วมพัฒนาและผลักดันประเทศไทยให้ก้าวหน้าเทียบเท่าระดับสากล ซึ่งฐานข้อมูลที่เราจัดทำขึ้นจากโครงการนี้ จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ทั้งในการวางนโยบายของภาครัฐ และการวางเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าเพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่การใช้งานที่ขยายกว้างขึ้นในอนาคต”
โดยเทคโนโลยีปลั๊กอิน ไฮบริด ในบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport สามารถนำสมรรถนะของมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และยังสามารถขับขี่ในตัวเมืองได้โดยไม่ปล่อยมลภาวะออกจากท่อไอเสียเลยในระยะ 40 กิโลเมตร แบตเตอรี่ของรถมีความจุ 7.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง และสามารถชาร์จได้กับปลั๊กไฟบ้านทั่วไป โดยมีช่องเก็บสายชาร์จอยู่ใต้พื้นที่เก็บสัมภาระตอนท้าย เมื่อแบตเตอรี่หมด สามารถชาร์จด้วยไฟบ้านให้เต็มได้โดยใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง หรือเลือกเสริมประสิทธิภาพการชาร์จด้วยอุปกรณ์ บีเอ็มดับเบิลยู ไอ วอลล์บ็อกซ์ เพียว (BMW i Wallbox Pure) ที่ทั้งปลอดภัย ใช้งานง่าย และรวดเร็วด้วยกำลังไฟถึง 3.7 กิโลวัตต์ (16 แอมป์/230 โวล์ท) จึงสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง 12 นาที