BMW Group Aerodynamic Test Centerศูนย์ทดสอบอากาศพลศาสตร์สุดไฮเทค หัวใจสำคัญของพลังขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics
BMW Group Aerodynamic Test Centerศูนย์ทดสอบอากาศพลศาสตร์สุดไฮเทคหัวใจสำคัญของพลังขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics
รถยนต์สมรรถนะสูง ประหยัดน้ำมัน มลพิษต่ำ’ คือ เป้าหมายหลักของปรัชญา EfficientDynamics ณ วันนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ผลิตที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกของรถยนต์พรีเมียม ล้ำหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่นอกจากโดดเด่นในเรื่องของสมรรถนะการขับขี่แล้ว ยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดน้ำมันและคายมลพิษต่ำ เมื่อเปรียบเทียบสถิติระหว่างปีค.ศ. 2008 กับค.ศ. 2006 จะเห็นว่ารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูสามารถประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นและคายไอเสียน้อยลงถึง 16% และรถยนต์มินิสามารถทำอัตราดังกล่าวได้ถึง 20% อัตราการพัฒนาในด้านการประหยัดน้ำมันและคายไอเสียของทั้งสองแบรนด์นั้นดีกว่าผู้ผลิตรถยนต์พรีเมืยมอันดับที่ 2 มากกว่าสองเท่า
BMW Group
“World’s Most Sustainable Car Maker”
สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ปรัชญา EfficientDynamics นั้นเป็นมากกว่าเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ แต่ว่าอยู่ในหัวใจของการทำงานทุกขั้นตอนของการทำงาน ตั้งแต่การประหยัดพลังงานในกระบวนการผลิต การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดการใช้ทรัพยากรทั้งในส่วนของพลังงานและน้ำ จนถึงสภาพแวดล้อมการทำงานและสุขภาพของพนักงาน ปัจจัยองค์ประกอบต่างๆนี้ ได้ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปเป็น “World’s Most Sustainable Car Maker” จากการจัดอันดับของ Dow Jones Index
ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆสู่โลกแห่งยานยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังพร้อมเสมอที่จะรักษาตำแหน่งผู้นำนี้ เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสู่อนาคต
Aerodynamic Test Center
ลงทุน 170 ล้านยูโร
ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีแห่งอนาคต
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มีความมุ่งมันอย่างจริงจังที่จะพัฒนาและผลิตรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงขึ้น แต่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น และคายไอเสียน้อยลง หนึ่งในหัวใจหลักของเทคโนโลยี EfficientDynamics คือเรื่องของอากาศพลศาสตร์ ทุกๆ 10% ของการลดค่าสัมประสิทธ์การต้านลม จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น 2.5% นอกจากนั้นการไหลของอากาศที่เหมาะสมยังช่วยให้สมรรถนะการขับเคลื่อนและการเกาะถนนสูงขึ้นด้วย
ในปัจจุบันส่วนใหญ่ขององค์ความรู้ด้านอากาศพลศาสตร์นั้น ต้องอาศัยการศึกษาและประสบการณ์จากการพัฒนารถแข่งต่างๆ ซึ่งนอกจากจะใช้เวลาแล้ว การนำมาประยุกต์ใช้ในรถยนต์ที่ผลิตออกมาขายได้อย่างมีประสิทธิผลนั้น ยังทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากข้อมูลจากแล็บทดลองส่วนมากสามารถทดสอบได้เพียงขณะที่รถอยู่นิ่ง แต่ในความเป็นจริงรถยนต์ถูกใช้บนท้องถนนร่วมกับรถคันอื่น และบนผิวถนนและมุมความลาดชันต่างๆกัน ซึ่งความรู้ส่วนนี้ต้องอาศัยการทดสอบจากรถจริงในสนามทดสอบ ซึ่งทำให้การปรับปรุงจุดเล็กๆในการออกแบบต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณมาก
ด้วยเหตุนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จึงคิดสร้าง Aerodynamic Test Center ที่มีอุปกรณ์ทดสอบด้านอากาศพลศาสตร์ที่ทันสมัยที่สุดในโลกด้วยงบประมาณ 170 ล้านยูโร (ประมาณ 8,500 ล้านบาท)Aerodynamic Test Center มีศักยภาพในการจำลองสถานการณ์เสมือนการใช้งานบนท้องถนนจริง เช่นที่ความเร็วต่างๆ ความลาดชัน และความโค้งของถนน รวมถึงปฏิกิริยาต่างๆของตัวถังเมื่ออยู่บนถนนที่มีผิว ความลาดเอียง และความโค้งที่ต่างๆกันไป ความสามารถดังกล่าวของ Aerodynamic Test Center จะช่วยให้ความรู้ด้านอากาศพลศาสตร์สามารถใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นกระบวนการ โดยไม่ต้องรอให้ถึงขั้นตอนที่ตัองผลิตรถจริงออกมา อีกทั้งการปรับเปลี่ยนแก้ไขก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิผล
สุดยอดนวัตกรรมอุโมงค์ลม
สามารถจำลองเหตุการณ์จริงบนท้องถนน
ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
Aerodynamic Test Center จัดได้ว่าเป็นศูนย์ทดสอบอากาศพลศาสตร์ที่ทันสมัยและมีศักยภาพสูงที่สุดในโลกยานยนต์วันนี้ ประกอบด้วยอุโมงค์ลมไฮเทคและถนนจำลองขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อุโมงค์ลมและถนนจำลองนี้สามารถจำลองและวิเคราะห์การไหลของอากาศของรถในสถานการณ์การขับขี่จริงบนท้องถนน กระบวนการนี้ยังสามารถจำลองแบบพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังสามารถจำลองสถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น การไหลของอากาศที่เป็นผลจากรถคันหนึ่งสู่รถอีกคัน ซึ่งทำให้สามารถเข้าใจได้ถึงความสัมพันธ์ด้านอากาศพลศาสตร์กับการขับเคลื่อนได้อย่างไม่เคยทำได้มาก่อน
ข้อมูลที่สามารถเรียนรู้จากการทดสอบใน Aerodynamic Test Center นี้เปรียบได้กับความรู้ที่ได้จากการเข้าร่วมการแข่งขันรถต่างๆเป็นเวลาหลายปี ซึ่งเรียกได้ว่าจะมีประโยชน์อย่างมากที่สามารถนำรถโมเดลมาทดสอบบนถนนจำลองที่เลื่อนได้ แทนที่จะนำรถจริงมาวิ่งในสนามทดสอบ ข้อมูลต่างๆที่ได้จากการทดสอบจะถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนารถยนต์ตั้งแต่ต้นกระบวนการ ซึ่งแตกต่างจากการปฏิบัติในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือ ในปัจจุบันการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลเดียวกันนี้ จะต้องนำรถจริงมาวิ่งบนสนามทดสอบ ซึ่งเป็นขั้นตอนเกือบสุดท้ายสำหรับการพัฒนารถยนต์ ซึ่งในหลายกรณีแล้ว ข้อมูลที่ได้เรียนรู้มานั้นกลับไม่ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์ เพราะว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือสัดส่วนของรถ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในจุดเล็กๆอาจจะไม่คุ้มทุนในการเปลี่ยนแปลง
ด้วยศักยภาพในการให้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์ตั้งแต่ต้นกระบวนการพัฒนารถ Aerodynamic Test Center จะเป็นหัวใจสำคัญของเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการพัฒนารถยนต์ในอนาคต ซึ่งกระบวนการใหม่นี้นอกจากเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการออกแบบรถให้มีอากาศพลศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว ยังเป็นการประหยัดงบประมาณในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคตอีกด้วย
จุดเปลี่ยนผันกระบวนการพัฒนารถยนต์
อากาศพลศาสตร์เพื่อการเกาะถนนที่ดียิ่งขึ้น
นอกจากศูนย์ศึกษาอากาศพลศาสตร์ Aerodynamic Test Center จะช่วยให้วิศวกรสามารถนำข้อมูลและความรู้ด้านอากาศพลศาสตร์มาเป็นข้อมูลในการพัฒนารถยนต์ตั้นแต่ตอนต้นของกระบวนการอย่างๆไม่เคยทำได้มาก่อนแล้ว ยังสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลของอากาศพลศาสตร์ที่เกี่ยวกับเสถียรภาพและการเกาะถนนของรถในสถานการณ์ต่างๆได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ที่ซับซ้อนเพื่อศึกษาผลของการไหลของอากาศระหว่างรถสองคันขณะเร่งแซงต่อเสถียรภาพและการเกาะถนน ซึ่งข้อมูลความรู้ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับวิศวกรที่จะพัฒนารถยนต์ให้มีความปลอดภัยและสะดวกสบายมากขึ้น
กระบวนการทำงานที่เหนือชั้น
เพื่อประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด
สำหรับ Aerodynamic Test Center นั้นนอกจากจะมีอุปกรณ์ทดสอบและอุโมงค์ลมสุดไฮเทคแล้ว ขั้นตอนรายระเอียดในการทำงาน รวมถึงการสื่อสารและกระบวนการปฏิสัมพันธ์ของวิศวกรและนักวิทยาศาสตร์ ยังได้ถูกคิดขึ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน เริ่มจากสถานที่ตั้งของที่อยู่ติดกับ FIZ Research & Innovation Center ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงหน่วยออกแบบของรถยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทำให้กระบวนการพัฒนาเทคโนโลยีและรถยนต์รุ่นต่างๆเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆทั้งด้านการออกแบบ ด้านการออกแบบระบบวิศวกรรม ด้านเครื่องยนต์ รวมถึงด้านอากาศพลศาสตร์ จะรวมศูนย์อยู่ในที่แห่งเดียวกัน
บนอาคารขนาดความสูง 5 ชั้นตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 6.2 เอเคอร์ (ประมาณ 16 ไร่) จะเป็นที่ทำงานแห่งใหม่สำหรับผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร และนักวิทยาศาตร์ด้านเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์กว่า 500 คนที่เคยทำงานอยู่ในสถานที่ต่างๆ รอบเมืองมิวนิค ซึ่งบางแห่งต้องเดินทางกว่า 20 กิโลเมตรเพื่อมาประชุมร่วมกัน การลดระยะทางนี้จะทำงานประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้นอย่างมาก อีกทั้งกระบวนการทำงานที่ยืดหยุ่นจะช่วยให้ความรู้ความสามารถของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆได้อย่างมีประโยชน์มากขึ้นด้วย