BMW – พลังแห่งวิสัยทัศน์ ขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี EfficientDynamics
BMW – พลังแห่งวิสัยทัศน์ ขับเคลื่อนสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีEfficientDynamics
ด้วยวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล BMW ได้ริเริ่มโครงการการวิจัยและพัฒนาตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 1990 เพื่อที่จะสรรค์สร้างเทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มสมรรถนะ และในเวลาเดียวกันประหยัดน้ำมันมากขึ้นและคายไอเสียน้อยลง ณ วันนี้เทคโนโลยี EfficientDynamics ตอกย้ำความเป็นผู้นำอย่างเหนือชั้นให้กับบีเอ็มดับเบิลยูด้วยการบรรลุเป้าหมายของปฏิญญา ACEA Association of European Car Manufacturers โดยสามารถเพิ่มความประหยัดน้ำมันเฉลี่ยของรถทั้งกลุ่มลงกว่า 25% (ระหว่างปีค.ศ. 1995-2008) และในขณะนี้มีรถยนต์ BMW ที่มีเทคโนโลยี EfficientDynamics มากกว่า 1 ล้านคัน ในทุกรุ่นตั้งแต่ซีรี่ย์ 1 ถึงซีรี่ย์ 7
หัวใจสำคัญของเทคโนโลยี EfficientDynamics อยู่ในทุกรายละเอียด
ทั้งในด้านอากาศพลศาสตร์ โครงสร้างน้ำหนักเบา และการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์
รวมถึงการบริหารพลังงานที่ชาญฉลาด
ในระดับปรัชญาของเทคโนโลยี EfficientDynamics เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแนวความคิดโดยสิ้นเชิงว่า “รถยนต์สมรรถนะสูง ประหยัดน้ำมันและคายไอเสียต่ำ” จากแนวความคิดดั้งเดิมว่า “รถยนต์สมรรถนะสูง จะต้องกินน้ำมันมากและคายไอเสียมาก”
การที่จะบรรลุเป้าหมายใหม่ของ EfficientDynamics วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูได้มุ่งเน้นไปยังหัวใจสำคัญคือ
(1) ด้านอากาศพลศาสตร์ ซึ่งรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูทุกคันได้มีการออกแบบให้มีประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์สูงสุด รวมถึงรายและเอียดเล็กๆน้อยๆ เช่น Under-body moulding ซึ่งเป็นการจัดระเบียบการไหลวนของอากาศใต้ท้องรถ หรือ Air flap control ควบคุมการเปิด-ปิดระบบการรับอากาศเพื่อให้มีประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์สูงสุดโดยเฉพาะในเวลาที่เครื่องยนต์ไม่ต้องการการระบายความร้อนด้วยอากาศ
(2) โครงสร้างน้ำหนักเบา ซึ่งถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าระบบต่างๆ ทั้งในส่วนของทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ล้วนแล้วแต่เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับรถยนต์สมัยใหม่ วิศวกรของบีเอ็มดับเบิลยูจึงได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์ขั้นสูง เช่นการใช้วัสดุอลูมิเนียมในส่วนของตัวถัง โครงสร้าง รวมถึงช่วงล่าง หรือการใช้วัสดุแมกนีเซียมอัลลอยด์ในส่วนของโครงสร้างเครื่องยนต์ ซึ่งนอกจากจะมีน้ำหนักเบาแล้วยังเพิ่มความแข็งแกร่งและทนทานด้วย
(3) การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์ ซึ่งรวมทั้งในส่วนของการเพิ่มความสามารถในการผลิตกำลัง และการลดภาระการใช้และสูญเสียพลังงาน เครื่องยนต์ของบีเอ็มดับเบิลยูได้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสุดยอด เช่น ระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ VALVETRONIC ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน และระบบฉีดน้ำมันความละเอียดสูง High Precision Direct Injection และในส่วนของการลดภาระการใช้และสูญเสียพลังงาน รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูได้ผสมผสานเทคโนโลยีต่างๆอย่างลงตัว เช่น ระบบ Brake Energy Re-Generation ซึ่งเป็นการชาร์จไฟแบตเตอรี่โดยอาศัยพลังงานจากการเบรกโดยไม่ต้องอาศัยพลังงานจากเครื่องยนต์เหมือนในระบบดั้งเดิม และระบบปั๊มน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเครื่องแบบ On-demand ซึ่งทำหน้าที่ส่งน้ำหล่อเย็นและน้ำมันเครื่องในปริมาณที่แม่นยำโดยสูญเสียพลังงานน้อยที่สุด
เทคโนโลยี EfficientDynamics ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก
ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยียานยนต์
ณ วันนี้เทคโนโลยี EfficientDynamics ตอกย้ำความเป็นผู้นำอย่างเหนือชั้นให้กับบีเอ็มดับเบิลยูด้วยการบรรลุเป้าหมายของปฏิญญา ACEA Association of European Car Manufacturers โดยสามารถเพิ่มความประหยัดน้ำมันเฉลี่ยของรถทั้งกลุ่มลงกว่า 25% (ระหว่างปีค.ศ. 1995-2008) และในขณะนี้มีรถยนต์ BMW ที่มีเทคโนโลยี EfficientDynamics มากกว่า 1 ล้านคัน ในทุกรุ่นทุกเซ็กเมนท์ ตั้งแต่ซีรี่ย์ 1 ถึงซีรี่ย์ 7
ในปีค.ศ. 2008 เทคโนโลยี EfficientDynamics ได้ช่วยให้ผู้ใช้รถบีเอ็มดับเบิลยูในยุโรปประหยัดน้ำมันรวมกันถึง 150 ล้านลิตรและลดการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ 373,000 ตัน เมื่อเทียบกันปีค.ศ. 2006 ถ้าเทียบว่า เอาน้ำมันที่ประหยัดได้จากเทคโนโลยี EfficientDynamics มาผลิตไฟฟ้า จะสามารถป้อนไฟฟ้าให้กับประชากรถึง 780,000 คนเป็นเวลา 1 ปี
ในปีนี้มีรถยนต์จากบริษัทบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปถึง 49 รุ่นที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน EU5 ซึ่งมีถึง 27 รุ่นที่มีอัตราการคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 140 กรัมต่อกิโลเมตร
นอกจากนั้นบีเอ็มดับเบิลยูยังได้รับรางวัลจากสถาบันต่างๆทั่วโลก เช่น International Engine Of The Year Awards โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีค.ศ. 2008 ที่บีเอ็มดับเบิลยูได้รับถึง 6 รางวัลจากทั้งหมด 11 รางวัล และอีกรางวัลที่สำคัญในปีที่ผ่านมากคือ World Green Car of the Year สำหรับ BMW 118d ซึ่งตัดสินโดยคณะกรรมการจาก 24 ประเทศในงาน New York International Auto Show 2008 นอกจากนี้บีเอ็มดับเบิลยูยังได้รับรางวัล Green Steering Wheel Award ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตที่สามารถลดอัตราการคายไอเสียได้ยอดเยี่ยมที่สุดในอุตสาหกรรมยานยนต์ และบริษัท บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังได้รับการยกย่องให้เป็น “World’s Most Sustainable Car Maker” จากการจัดอันดับของ Dow Jones Sustainability Index อีกด้วย
ขั้นต่อไปของ EfficientDynamics กับเทคโนโลยี ActiveHybrid
BMW Concept X6 ActiveHybrid และ BMW Concept 7 Series ActiveHybrid
ในด้านหนึ่ง บีเอ็มดับเบิลยูได้มุ่งมั่นและให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยี EfficientDynamics ที่สามารถนำมาใช้ได้ในวันปัจจุบัน และสามารถประยุกต์ใช้กับรถยนต์รุ่นต่างๆ ในทุกเซ็กเมนท์ตั้งแต่ซีรี่ย์ 1 ถึงซีรี่ย์ 7 ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งภายใต้แผนงานวิจัย EfficientDynamics บีเอ็มดับเบิลยูก็มีการพัฒนาระบบขับเคลื่อนแบบ ActiveHybrid ซึ่งเป็นการประยุกต์เทคโนโลยีขับเคลื่อนแบบไฮบริด แต่คงไว้ซึ่งคาร์แรคเตอร์การขับขี่สนุก ปราดเปรียว และคล่องตัวตามแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู
BMW Concept X6 ActiveHybrid อวดโฉมครั้งแรกในปีค.ศ. 2007 ในงานแฟรงค์เฟิร์ทมอเตอร์โชว์ ใช้ระบบ Full Hybrid ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5.0 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 60 กิโลวัตต์ / 250 นิวตัน-เมตร จำนวน 2 ตัว ขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลังแบบ Two-mode Active Transmission ซึ่งเป็นนวัตกรรมขั้นสุดยอดของระบบส่งกำลัง สามารถให้ประสิทธิภาพการส่งกำลังสูงสุดโดยแยกการทำงานเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการทำงานที่ความเร็วต่ำซึ่งต้องการแรงบิดสูง และส่วนที่สอง คือการทำงานขณะความเร็วสูงซึ่งต้องการแรงม้าสูง และที่สำคัญ BMW Concept X6 ActiveHybrid สามารถประหยัดน้ำมันได้เพิ่มขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับ BMW X6 xDrive50i ซึ่งใช้เครื่องยนต์เครื่องเดียวกัน
และในปลายปีค.ศ. 2008 ในงานปารีสมอเตอร์โชว์ บีเอ็มดับเบิลยูได้เปิดตัว BMW Concept 7 Series ActiveHybrid ใช้ระบบ Mild Hybrid ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 ขนาด 5.0 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 15 กิโลวัตต์ / 210 นิวตัน-เมตร จำนวน 1 ตัว ติดตั้งอยู่ระหว่างเครื่องยนต์และระบบเกียร์ ซึ่งเป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน สามารถประหยัดน้ำมันได้เพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับ BMW 750i ซึ่งใช้เครื่องยนต์เครื่องเดียวกัน
และในปีค.ศ. 2009 นี้ เทคโนโลยี ActiveHybrid ซึ่งผนวกรวมเทคโนโลยีไฮบริดเข้ากับคาร์แรคเตอร์ที่ปราดเปรียวและคล่องตัวในการขับขี่ตามแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู จะได้รับการพัฒนาเข้าสู่สายการผลิตเป็นครั้งแรก
อนาคต: พลังงานสะอาด BMW Hydrogen 7
เป้าหมายขั้นสูงสุดของปรัชญา EfficientDynamics คือ รถยนต์ที่มีสรรถนะสูง มีความหรูหราสะดวกสบายและความปลอดภัยสูงสุด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สุด
คำตอบในด้านของพลังงานสะอาด คือ พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งสามารถผลิตได้จากขบวนการผลิตที่สะอาดที่สุด โดยอาศัยพลังงานลมหรือแสงแดด
บีเอ็มดับเบิลยูจึงได้พัฒนา BMW Hydrogen 7 ซึ่งได้กลายเป็นรถยนต์ซุเปอร์ซาลูนพลังงานไฮโดรเจนคันแรกของโลก ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.0 ลิตร ผลิตกำลังสูงสุด 260 แรงม้า ในวันนี้มีรถ BMW Hydrogen 7 จำนวน 100 คัน (เป็นรถ Series Production ไม่ใช่รถต้นแบบ Prototype) ใช้โดยผู้นำที่มีอิทธิพลทางความคิดทั้งในภาคส่วนการเมืองและสังคมในประเทศต่างๆ ซึ่งถ้านับระยะทางรวมแล้วมากกว่า 3.5 ล้านกิโลเมตร