ครบรอบ 25 ปี ค่าย Honda (ฮอนด้า) สายแรงตระกูล Type R (ไทป์ อาร์) …(Ep.3)
Honda (ฮอนด้า) Civic (ซีวิค) โมเดลที่ 3 แห่ง “หอเกียรติยศ” Type R (ไทป์ อาร์) ซึ่งสืบสานความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่ความแรงดั้งเดิมแบบไร้ระบบอัดอากาศ สู่วิวัฒนาการขั้นต่อไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ เครื่องยนต์ VTEC Turbo ถึง 2 โมเดล ในสายพันธุ์แรงเจนเนอเรชั่นล่าสุด
Honda Civic (EK9) Type R ลูกคนแรกจากอนุกรม Civic
ปี 1997 Honda ได้ให้กำเนิดโมเดล Type R (ไทป์ อาร์) ภายใต้อนุกรม Civic เจนเนอเรชั่นที่ 6 ในรหัสตัวถัง EK โดยใช้พื้นฐานจากเวอร์ชั่น SiR รหัส EK4 ซึ่งเป็นตัวถังแบบ 3 ประตู Hatchback มาพร้อมการอัพเกรดให้มีบุคคลิกในสไตล์เดียวกับ Integra Type R DC2 เช่นการลดน้ำหนักให้เบาลงจนเหลือเพียง 1,090 กก.
อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างตัวถังด้วยการ Spot ส่วนความเร้าใจของ EK9 ยังคงเป็นการขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยขุมพลัง 1.6 ลิตร รหัส B16B ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด อัตราทดชิด และมีกำลังถึง 185 แรงม้า ส่วนภายในห้องโดยสารก็สปอร์ตขึ้นด้วยเบาะนั่ง, แผงประตู, พรมพื้นสีแดง, หัวเกียร์ไททาเนียม และพวงมาลัย Momo
แต่ที่เจ๋งก็กว่านั้นก็คือเวอร์ชั่นพิเศษรุ่น Motor Sports Edition ที่ปล่อยออกมาในปี 1998 ที่เรียกว่า “โหด” สุดๆ สำหรับพวกเท้าหนักโดยเฉพาะ เนื่องจากถอดอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายออกหมด ทั้งระบบปรับอากาศ, กระจกไฟฟ้า, พวงมาลัยเพาเวอร์, เครื่องเสียง แม้กระทั่งล้ออัลลอยด์ก็ไม่เหลือ มีเพียงล้อกระทะเหล็กมาให้ กับภายในแบบสไตล์ Type R เท่านั้น
EP3 เจนเนอเรชั่นที่ 2 Civic Type R จากเมืองผู้ดี
ใช่ครับนี่คือ Honda Civic Type R ที่ถือกำเนิดขึ้นนอกประเทศญี่ปุ่น โดยคลอดที่ประเทศอังกฤษในปี 2001 พร้อมรหัสติดตัวว่า EP3 โดยยังคงมากับตัวถังแบบ 3 ประตูเช่นกัน เครื่องยนต์ก็ใช้พิกัด 2.0 ลิตร i-VTEC รหัส K20A2 ซึ่งมีพละกำลังให้ใช้ที่ 200 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดอัตราทดชิด พร้อมระบบเบรกที่ได้รับการอัพเกรดขึ้นใหม่
ส่วนออพชั่นอื่นๆ ที่ติดตั้งมาให้ก็จะประกอบด้วย ระบบล็อคเฟืองท้าย LSD, เบาะนั่ง Recaro Race Seats สีแดง นอกจากเวอร์ชั่นปกติแล้ว EP3 ยังมีเวอร์ชั่นญี่ปุ่นอีกด้วยเช่นกัน ซึ่งทางโรงงานที่อังกฤษส่งข้ามทวีปมาให้ โดยมีการอัพเกรดขึ้นใหม่ ในส่วนของสมรรถนะให้รองรับกับการวิ่งในสนามมากขึ้น
อีกทั้งพละกำลังก็มีความแตกต่างกันจากการยกเครื่องยนต์ K20A จาก DC5 มาประจำการ แต่ปรับเรี่ยวแรงลดลงจาก 220 แรงม้าเป็น 215 แรงม้า รวมไปถึงการปรับเซ็ทในส่วนอื่นๆ ตามมมา โดยผลลัพธ์ก็คือ สมรรถนะที่บรรดาสื่อต่างประเทศทั้งหลายต่างยอมรับ และมอบรางวัล “Hot Hatch of the Year” ให้ไปครอง
FD2 และ FN2 แฝดคนละฝา เจนที่ 3 แห่ง Civic Type R
ทั้ง 2 โมเดล ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ของอนุกรม Civic Type R ซึ่ง Honda แยกทำตลาดระหว่างฝั่งญี่ปุ่น และฝั่งยุโรป ซึ่งสำหรับรหัส FD2 นี้คือครั้งแรกของความแรงในรูปแบบใหม่กับตัวถังแบบ 4 ประตู ที่ทั้งใหญ่กว่า, กว้างกว่า และหนักกว่า แต่ข้อดีก็คือมันทำให้เจ้า FD2R นี้มีสเถียรภาพมากขึ้นเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
ส่วนขุมพลังของ FD2R ก็คือรหัส K20A จาก Accord Euro R CL7 ที่อัพเกรดขึ้นใหม่เป็น 225 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดอัตราทดชิด พร้อม LSD ตามด้วยการเปลี่ยนระบบเบรกที่ยกชุดมาจาก DC5 พร้อมคาลิปเปอร์จาก Brembo นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่นแรงสุดของ FD2R ออกมาให้ยั่วเหล่าสาวก ด้วยรุ่น Mugen RR ที่มีจำนวนเพียง 300 คัน ทั่วโลก
พร้อมด้วยความโดดเด่นของตัวถังสีแดงสด Milano Red เสริมหล่อด้วยชุดพาร์ทจากสำนัก Mugen รวมถึงการตกแต่งภายในจาก Mugen ด้วยเช่นกัน พร้อมซุกซ่อนสมรรถนะสุดเร้าใจไว้ภายใน เช่น น้ำหนักตัวถังที่เบาลงเหลือ 1,255 กก. ขับเคลื่อนด้วยพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเป็น 240 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่เพิ่มขึ้นเป็น 218 นิวตันเมตร
จากนั้นก็มีรุ่น Mugen RR Advanced Concept ที่เปิดตัวขึ้นมายั่วสาวกอีกครั้งปี 2009 ในงาน Tokyo Auto Salon โดยใช้พื้นฐานจากรุ่น FD2 รุ่น Face-Lifted มาทำการปรับแต่งใหม่ โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงหลักๆ ก็คือ การหั่นน้ำหนักออกเหลือเพียง 1,095 กก. และเปลี่ยนไปใช้ชุดเบรกขนาดใหญ่ขึ้น
ทางด้านฝาแฝดจากฝั่งยุโรปในรหัส FN2 นั้นเรียกว่าแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะยังคงใช้ตัวถังแบบ 3 ประตู Hatchback ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์พิกัด 2.0 ลิตรเช่นกัน แต่ลดทอนพละกำลังลงมาเหลือเพียง 201 แรงม้า และแรงบิดที่ 193 นิวตันเมตร แถมแชร์วิวัฒนาการช่วงล่างด้านหลังกับ Honda Jazz เวอร์ชั่นยุโรป ซึ่งเป็นแบบคานทอร์ชั่นบีม จึงทำให้อรรถรสในการขับขี่ด้อยลงพอสมควร
สำหรับจำนวนการผลิตนั้น FD2R มีจำนวนการผลิตอยู่ที่ 13,000 คัน และ FN2 ที่ 12,000 คัน ทั้งยังมีเวอร์ชั่นที่ส่งไปขายในญี่ปุ่นอีกด้วย โดยใช้ชื่อรุ่นว่า Civic Type-R EURO ก่อนที่ทั้ง 2 รุ่นจะถูกยุติสายการผลิตไปในปี 2010 เนื่องจากไม่ผ่านเรื่องมาตรฐานไอเสีย และทำให้ทั้ง 2 รุ่น คือ Type R เจนเนอเรชั่นสุดท้ายที่ใช้เครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศ
Civic FK วิวัฒนาการครั้งใหม่ ของ Type R เครื่องเทอร์โบ
ข่าวการจากไปของสายพันธ์แรงจาก Honda ทำให้ทุกอย่างที่มีความเป็น Type R ถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าของเหล่ารุ่นพี่ Type R อย่างก้าวกระโดด และยิ่งตอกย้ำความมีคุณค่าในรูปแบบของ “ต้นฉบับ” มากขึ้น ทันที เมื่อมีข่าวดีอออกมาอีกครั้ง และนั่นคือการมาถึงของ Civic Type R รุ่นใหม่ในปี 2015 กับรหัสตัวถัง FK2
ซึ่งใช้พื้นฐานของ Civic Hatchback มาพัฒนาต่อ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ขุมพลังพิกัด 2.0 ลิตร รหัส K20C Earth Dreams Technology ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ระบบ VTEC พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection เสกพละกำลังสูงสุดมาให้ที่ 310 แรงม้า และแรงบิดสูงถึง 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด พร้อมระบล็อคเฟืองท้าย LSD
Civic Type R (FK8) กับตำแหน่ง “ของแรง” เจนเนอเรชั่นล่าสุด
ที่ Paris Motorshow ปี 2016 Honda เกริ่นนำ เจนเนอเรชั่นล่าสุดของอนุกรม Type R ด้วยรถ Prototype ก่อนใส่มันลงไปในไลน์ผลิต และเข็นขึ้นมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งาน Geneva Motorshow ปี 2017 ด้วยรุ่น FK8 ซึ่งนับเป็นวาระครบรอบ 25 ปีพอดีกับการถือกำเนิด Type R รุ่นแรกในปี 1992
โดยมากับรูปแบบตัวถัง Hatchback แต่มีประตู 4 บาน และการออกแบบที่เน้นด้านอากาศพลศาสตร์ด้วยชุด Aerodynamic Parts รอบคัน พร้อมโทนสีที่โดดเด่นแสดงถึงจิตวิญญาณของความแรงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน กับขุมพลังพิกัด 2.0 ลิตรบล็อคเดียวกับ FK2 แต่ปรับให้มีพละกำลังเป็น 306 แรงม้า พร้อมแรงบิดระดับ 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดอัตราทดชิด สู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และมาพร้อมระบบล็อคเฟืองท้าย LSD
เก็บตกอนุกรม Type R กับความพยายามในโมเดล Accord
นอกจากรุ่นยอดนิยมที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว Honda ยังพยายามขยายสายงาน Type R สู่โมเดลอื่นด้วยเช่นกัน และนี่คือความพยายาม 2 ครั้งในการนำเอาชื่อ Type R ประทับลงไปบนโมเดลที่เน้นความหรูอย่าง Accord โมเดลแรก คือ Accord Euro-R รหัส CL1 ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงปี 1998-2002
โดยพัฒนาขึ้นจากพื้นฐานของรุ่น CH1 เวอร์ชั่นที่ขายในตลาดยุโรป และอังกฤษ ซึ่งเจ้า CL1 นี้จะมากับเครื่องยนต์พิกัด 2.2 ลิตร รหัส H22A7 แบบ 4 สูบ พร้อมระบบ VTEC ผลิตกำลังได้ถึง 217 แรงม้า และแรงบิดถึง 222 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พร้อมระบบล็อคเฟืองท้าย LSD ตามด้วยระบบช่วงล่างที่ปรับเซ็มใหม่เพื่อให้รองรับกับพละกำลัง
ส่วนความพยายามครั้งที่ 2 เกิดขึ้นต่อเนื่องในปี 2002-2008 กับ Honda Accord Euro R ในรหัส CL7 โดยเปิดตัวในปี 2003 พร้อมด้วยขุมพลังจากพิกัด 2.0 ลิตร รหัส K20A i-VTEC บล็อคเดียวกับ DC5 กับเรี่ยวแรง 220 แรงม้า และแรงบิด 206 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด พร้อม LSD พร้อมรายละเอียดการตกแต่งที่ยังคงรักษามาตรฐานความเป็น Type R เช่น ชุดพาร์ท, เบาะ Recaro, พวงมาลัย Momo และก็หัวเกียร์อลูมิเนียม
“และนี่ก็คือเหล่าสุดยอดขุนศึกในสารบบของ Honda ซึ่งสร้างหน้าประวัติศาสตร์บทใหม่ตั้งแต่ปี 1992 ตราบจนปัจจุบัน โดยครบรอบ 25 ปี ไปแล้วใน 2017 ที่ผ่านมา โดยที่ยังคงสร้างความคลั่งไคล้ให้เหล่าสาวกแบบไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะโมเดล “ปีลึก” ที่แม้จะไม่มีป้ายแดงให้ซื้อหามาครอบครองกันแล้ว”
“แต่ความต้องการของสาวกก็ไม่เคยลดน้อยลงไป และกลับยิ่งทำให้ “คุณค่า และมูลค่า” ของมันเพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อ โดยเฉพาะรถสวยๆ เนี๊ยบๆ ที่ป่านนี้คงขึ้นหิ้งระดับ Collector Car ของนักเล่นรถกันไปหมดแล้วอย่างแน่นอน”