ครบรอบ 25 ปี ค่าย Honda (ฮอนด้า) สายแรงตระกูล Type R (ไทป์ อาร์) …(Ep.2)
จากรถต้นแบบ Concept Car ถูกสานฝันต่อจนกลายเป็น NSX และก้าวขึ้นแท่นยนตรกรรม “โลโก้แดง” ของค่าย ในฐานะ Honda (ฮอนด้า) สายแรงตระกูล Type R (ไทป์ อาร์) ที่สร้างความประทับใจไปทั่วโลก … ใน Ep นี้ เราจะมารู้จัก 2 ตัวแสบ คู่หูต่างยุคกันบ้าง กับอนุกรม Integra Type R ทั้ง DC2 และ DC5
Integra Type R (DC2) สปอร์ตตัวกลั่นพิกัด 1.8 ลิตร
หลังจากสร้างประวัติศาสตร์บทใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อย ฮอนด้าก็ไม่รอช้า ส่งน้องใหม่สายแรงลงตลาดทันทีในปี 1995 กับ Integra Type R รหัสตัวถัง DC2 ยนตรกรรมที่ได้รับการกล่าวขานว่าเหมาะสมกับการซิ่งใน Circuit มากกว่าวิ่งบนถนน ด้วยการปรับแต่งที่เหนือกว่าเวอร์ชั่นมาตรฐาน
ในขณะที่ขุมพลังนั้นสาวกบ้านเราน่าจะรู้จักกันดีกับรหัส B18C ในพิกัด 1.8 ลิตร พื้นฐานเครื่องยนต์ 4 สูบรอบจัด DOHC VTEC ซึ่งในเวอร์ชั่น JDM หรือ Japanese Domestic Market มันมีกำลังถึง 200 แรงม้าเลยทีเดียว ในขณะที่เวอร์ชั่นอเมริกานั้นจะถูกตอนกำลังลงมาอยู่ที่ 195 แรงม้า และในเวอร์ชั่นยุโรปจะมีกำลังที่ 190 แรงม้า
ซึ่งทุกรุ่นจะมากับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พร้อมระบบล็อคเฟืองท้าย LSD ส่วนเวอร์ชั่นแรกที่เปิดตัวนั้นก็มากับจุดเด่นในเรื่องรูปลักษณ์ที่ผอมเพรียวเป็นสปอร์ตเต็มขั้น แต่หน้าตาแปลกๆ จากไฟกลมคู่ 2 ดวง เพราะงั้นในปี 1996 จึงปรับปรุงเป็นเวอร์ชั่นใหม่ที่หล่อเหลาขึ้นด้วยไฟหน้าทรงยาว ก่อนจะจัดของใหม้อีกครั้งแบบเต็มๆ ในรุ่นปี 1998 กับระบบไฟหน้าแบบ Xenon
เจนที่ 4 อันโด่งดัง กับการปฎิวัติความแรงด้วยขุมพลัง 2.0 ลิตร
รุ่นต่อมาเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ในรหัสตัวถัง DC5 และเปิดตัวขึ้นในปี 2001 ส่วนขุมพลังนั้นเหล่าสาวกรู้จักดีแน่นอนกับรหัส K20A พิกัด 2.0 ลิตร 4 สูบ DOHC และนี่คือครั้งแรกกับการใส่เทคโนโลยีใหม่ลงไป กับระบบ i-VTEC (Intelligent Variable Timing Electronically Controlled)
ที่เป็นการผสมผสานระหว่างระบบ VTEC ดั้งเดิม และระบบ VTC- Variable Timing Control เข้าไว้ด้วยกัน ส่วนพละกำลังที่ทำได้สูงสุดนั้นอยู่ที่ 220 แรงม้า และมาพร้อมลักษณะทางกายภาพที่บ่งบอกการได้รับแรงบันดาลใจจากรถสนาม เช่น เบาะ Recaro, ชุดเบรก Brembo 4 Pot ในคู่หน้า, เกียร์ธรรมดา 6 สปีดอัตราทดชิด พร้อม LSD และระบบช่วงล่างที่แข็งแกร่ง
“จากรายละเอียดด้านสมรรถนะ คือ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อว่า Integra ทั้ง 2 ยุค เป็นอะไรที่เหมาะสมกว่า กับการอยู่ในสนาม มากกว่าบนถนน”
บทความที่เกี่ยวข้อง
