ครบรอบ 25 ปี ค่าย Honda (ฮอนด้า) สายแรงตระกูล Type R (ไทป์ อาร์) …(Ep.1)
“ธรรมดา โลกไม่จำ” คงเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดกับทุกๆ อย่าง รวมถึงค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ อย่าง Honda (ฮอนด้า) เช่นกัน เพราะในปี 2017 ที่ผ่านมา คือ อีกหนึ่งปีสุดพิเศษ ซึ่งเราจะบอกให้เผื่อใครยังไม่รู้ เพราะมันคือการ “ครบรอบ 25 ปี” พอดี กับการให้กำเนิดของแรงตระกูล Type R (ไทป์ อาร์) และเราจะพาย้อนกลับไปดูว่าที่ผ่านมาเค้าสร้างอะไรไว้บ้าง
Honda NSX (ฮอนด้า เอ็น เอส เอ็กซ์) จุดเริ่มการถือกำเนิด Type R
ในโลกของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการแข่งขันกันมาโดยตลอดนั้น หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญก็คือ “สร้างการเป็นที่จดจำ” ฉะนั้นในปี 1984 รถต้นแบบชื่อ HP-X จึงถูกสร้างขึ้น ด้วยความร่วมมือจาก Honda (ฮอนด้า) และ Pininfarina (พินินฟาริน่า) สำนักออกแบบรถยนต์จากอิตาลี โดยหน้าตาก็จะออกแนวล้ำๆ หน่อย แต่ความแรงนั้นไว้ใจได้ด้วยเครื่องยนต์ V6 พิกัด 3.0 ลิตร วางกลางลำ
หลังจากนั้น Masahito Nakano ในตำแหน่ง Chief Designer ก็ได้ร่วมมือกับ Shigeru Uehara ในตำแหน่ง Executive Chief Engineer นำเอาโปรเจ็คต์นี้กลับมาสานต่อ โดยตั้งชื่อให้มันว่า “NS-X” หรือ “New Sportcar-Experimental” ซึ่งได้แรงบันดาลใจในการพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์ และงานดีไซน์มาจากห้อง Cockpit ของเครื่องบินขับไล่ F-16 Fighter
และที่สำคัญก็คือยังได้รับความร่วมมือในการพัฒนาจากบุคคลสำคัญแห่งวงการมอเตอร์สปอร์ตอย่าง “Ayrton Senna” (ไอร์ตัน เซนนา) จนถึงขั้นตอนสุดท้ายก่อนเปิดตัวจริงในปี 1989 ที่งาน Chicago Auto Show และขายจริงในปี 1990 ส่วนขุมพลังนั้นก็มากับพิกัด 3.0 ลิตรแบบ V6 ที่สร้างขึ้นจากอลูมิเนียมทั้งตัว พร้อมเทคโนโลยีความแรงอย่าง VTEC ที่ซุ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 1980 แล้วก็มีทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดให้เลือก
ปี 1992 กับการบัญญัติอนุกรม Type R ในสารบบ
จาก NSX รุ่นพื้นฐาน สู่การให้กำเนิดประวัติศาสตร์บทใหม่ของยนตรกรรม “Red Emblem” หรือ “โลโก้แดง” ด้วย NSX Type R ซีรี่ส์ NA1 ในปี 1992 และจบสายการผลิตในปี 1995 โดยเวอร์ชั่นนี้แน่นอนว่าเป็นสายโหด เพราะฉะนั้นจึงต้องส่งเข้าคอร์สรีดไขมันส่วนเกิน สุดท้ายผอมเพรียวกับน้ำหนักที่หายไปราว 120 กก. จากเดิม 1,350 กก. เหลือเพียง 1,230 กก.
ด้วยการรื้อของจำพวก วัสดุซับเสียง, เครื่องเสียง, กระจกไฟฟ้า รวมถึงระบบปรับอากาศ ออกไป ส่วนเบาะหนังที่นั่งสบายก็กลายเป็น Bucket Seat โครงสร้าง Carbon น้ำหนักเบาจาก Recaro ตามด้วยล้อเดิมๆ ที่เปลี่ยนเป็น Enkei แบบฟอร์จน้ำหนักเบา อีกทั้งหัวเกียร์หุ้มหนัง ก็กลายเป็นไททาเนียม 1 แท่งให้ใช้
ส่วนที่เหลือก็มีการปรับเซ็ทอัพช่วงล่างใหม่ให้เหมาะสำหรับ “หวด” ในสนามมากขึ้น ตามด้วยอัตราทดเฟืองท้ายใหม่จาก 4.06:1 ก็เอาให้มันจัดขึ้นเป็น 4.235:1 สุดท้ายก็คือขุมพลังที่ยังคงเป็นบล็อคเดิมกับพิกัด 3.0 ลิตร DOHC VTEC แบบ V6 เรี่ยวแรงก็อยู่ที่ 270 แรงม้า และแรงบิด 284 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ลงล้อหลังตามสไตล์รถสปอร์ต และจำนวนการผลิตนั้นก็มีเพียงแค่ 483 คันเท่านั้นในตลาด JDM
1 ทศวรรษถัดมา กับการปลุกตำนานด้วย Type R (Facelift)
Honda NSX Type R เจนเนอเรชั่นที่ 2 ซีรี่ส์ NA2 คลอดตามออกมาในปี 2002 ซึ่งเป็นระยะเวลาถึง 1 ทศวรรษที่ปล่อยให้บรรดาแฟนๆ รอคอย ส่วนคอนเซ็ปต์ในการผลิตนั้นไม่ต่างอะไรกับเวอร์ชั่นแรกมานัก ด้วยสูตรตายตัว เช่น การลดน้ำหนักส่วนเกิน เหลือ 1,270 กก. ตามด้วยการปรับแต่งใหม่ที่เน้นความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างตัวถัง
ในขณะที่ขุมพลังนั้นก็ใช้บล็อคเดียวกับรุ่น NA2 ซึ่งเป็นเจนเนอรั่นที่ 2 โดยจะมีความจุที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 3.0 ลิตรเป็น 3.2 ลิตร จากพื้นฐานแบบ V6 สูบ DOHC VTEC ส่วนพละกำลังก็เบาๆ ที่ 290 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีดขับเคลื่อนล้อหลัง โดยผลลัพธ์จากการสร้างสรรค์โมเดลนี้ก็คือ สมรรถนะระดับสุดยอดตำนานที่มือทดสอบอย่าง Motoharu Kurosawa วิ่งทำเวลาบนสนามที่โหดที่สุดในโลกอย่าง Nurburgring ได้ใน 7.56 นาที เลยทีเดียว
แถมให้อีกนิดกับ “ที่สุด ของ ที่สุด” แห่ง NSX Type R
NSX-R GT รุ่นนี้ถือเป็นระดับ Rare Item ของจริงที่มากับความโหดเต็มขั้น เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการแข่งขัน Super GT ซึ่งต้องผ่านการ Homologate หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ต้องมีรถที่ผลิตออกมาขายจริงอย่างน้อย 5 คัน และนั่น คือ สิ่งที่ทำให้ NSX-R GT ในรูปแบบของรถ Production Car มีจำนวนอยู่เพียง 5 คันในโลกเท่านั้น
ส่วนความแตกต่างก็เห็นได้ชัดด้วยรูปลักษณ์ที่มากับสไตล์รถแข่ง เช่น การปรับให้รถมีความเตี้ยกว่าปกติ ตามด้วยตัวถังแบบ Wide Body ส่วนด้านบนมากับท่อ Snorkel เพื่อรับอากาศ ทางด้านหน้ารถก็เสริมด้วยสปอยเลอร์ และด้านหลังก็มากับ Diffuser ขนาดใหญ่ แล้วก็ยังมีการรีดน้ำหนักส่วนเกินออกไป ในขณะที่ขุมพลังก็ยังคงเป็นบล็อคเดิมกับพิกัด 3.2 ลิตร V6