รีวิว : All New HONDA Civic 1.8 E AT Navi ( ออล นิว ฮอนด้า ซีวิค ) เจนเนอเรชั่นที่ 9 ของตระกูล Civic

ต้องบอกว่ารอคอยเธอมาแสนนาน สำหรับ All New HONDA Civic ( ออล นิว ฮอนด้า ซีวิค )เพราะต้องผ่านอุปสรรคมากมายกว่าจะออกสู่ท้องตลาดเพื่อส่งมอบให้ถึงมือผู้บริโภค แต่ต้องยอมรับว่าสาวกพันธุ์แท้ของ HONDA ก็นั่งนับวันส่งมอบถึงมืออย่างใจจดใจจ่อโดยไม่เปลี่ยนใจ แต่สมรรถนะจะดีอย่างที่ตั้งตารอคอยหรือไม่ ไปสัมผัสพร้อมๆกันกับ iAMCAR เลยครับ

 

ลดน้ำหนัก เพิ่มความแข็งแกร่ง

ครั้งแรกที่ผมได้เห็น All New HONDA Civic ตัวเป็นๆ คงเป็นที่งาน Bangkok International Motor Show 2012 ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากนั้นหนึ่งเดือนก็มีการทดสอบแบบกลุ่ม ซึ่งผมได้บรรยายรวมๆ เอาไว้แล้ว แต่ในหน้านี้ผมขอเจาะลึกถึง All New HONDA Civic 1.8 E AT Navi ตัว Top สุดของรุ่น 1.8 ลิตร คันที่ผมจะเอาออกไปทดสอบสมรรถนะ ซึ่งคันนี้ถือได้ว่าเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 9 ของตระกูล Civic โดยใช้รหัสตัวถังว่า “FB” (หรือ Facebook นั่นเอง) ล้อเล่นนะครับ ในรุ่นนี้รูปทรงภายนอกดูแล้วโฉบเฉี่ยวขึ้น โดยการออกแบบภายนอกตามคอนเซ็ปท์ Clean & Energetic ซึ่งตั้งใจออกแบบตัวถังแบบ mono – from ให้ดูมีพลังและปราดเปรียว ในรุ่นนี้มีฐานล้อแคบกว่ารุ่นเดิม 30 มม. ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาลง เพื่อช่วยในเรื่องของความประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น โครงสร้างตัวถังแบบ G-CON ที่เข้ามามีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการกระจายแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในระหว่างการชนทางด้านหน้า เพื่อลดความเสียหายลง และใช้เหล็กที่มีความแข็งแกร่งสูงมากถึง 55% ในขณะที่รุ่นเดิมมีการใช้เหล็กประเภทนี้เพียง 50% เท่านั้น จึงมีความทนทานต่อการบิดตัวดีขึ้นถึง 10% และมีความปลอดภัยสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้เสา A-Pillar มีขนาดที่เพรียวขึ้น ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น

 

ภายนอก

มิติตัวถังมีความยาว 4,525 มิลลิเมตร กว้าง 1,755 มิลลิเมตร สูง 1,434 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,670 มิลลิเมตร การดีไซน์ต้องบอกว่าสวยสดงดงามตามสไตล์ CIVIC จากด้านหน้าจะเห็นไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ที่ขนาบคู่กับกระจังหน้าโครเมียมสุดหรู แต่ในรุ่น 1.8 ลิตร จะไม่มีระบบปรับไฟหน้าแบบอัตโนมัติ แต่ในรุ่น 1.8 E ยังมีไฟตัดหมอกที่กันชนหน้าให้ 1 คู่ ด้านข้างในรุ่น 1.8 จะมีความต่างที่มือจับเปิดประตู คือ 1.8 จะมีสีเดียวกับตัวรถ 2.0 เป็นสีโครเมียม มาถึงด้านท้ายความโดดเด่นผมยกให้ไฟท้ายที่เลือกใช้โทนสีแดง – ขาว พร้อมการดีไซน์ที่สามารถสร้างความโดดเด่นได้อย่างลงตัว โดยรวมในสายตาผมความโฉบเฉี่ยวอาจจะลดลงจากรุ่นเดิม แต่เติมความหรูหรา ความแข็งแกร่งของตัวถัง เข้ามาทดแทน ทำให้สามารถเพิ่มฐานลูกค้าวัยรุ่นถึงวัยกลางคนได้อีกเยอะ

 

ภายใน

ส่วนของภายใน HONDA เป็นอีกค่ายที่สามารถรังสรรค์การออกแบบให้ดูล้ำสมัยได้ตลอดเวลา ในตัว Civic ใหม่ ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง เริ่มที่คอนโซลหน้าที่ร้อยเรียงความอ่อนช้อยไปกับตัวรถได้ดี พร้อมแบ่งโซนมาตราวัดเป็น 2 ชั้น ด้านล่างเป็นมาตรวัดรอบแบบเข็ม พร้อมสัญญาณไฟเตือนระบบต่างๆ ด้านบนเป็นมาตรวัดความเร็วตัวเลขดิจิตอล มาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงและมาตรวัดอุณหภูมิ มีแถบไฟเปลี่ยนสีได้ของระบบ Eco Coaching เมื่อขับอยู่ในช่วงที่ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด แถบไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว

 

 

ส่วนพระเอกในส่วนของภายในต้องยกให้สวิตช์เปิด-ปิดระบบ ECON Mode ซึ่งอยู่บนแผงคอนโซลฝั่งขวาของผู้ขับ ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ และระบบปรับอากาศ เพื่อให้ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าที่สุด ที่ขาดไม่ได้จอเอนกประสงค์ i-MID หรือ Intelligent Multi-Information Display ตัวชูโรงของ Civic ใหม่ สามารถแสดงข้อมูลและปรับเซ็ตระบบต่างๆ ของรถ ควบคุมด้วยปุ่มบนพวงมาลัยฝั่งซ้าย คอนโซลกลางติดตั้งจอสัมผัสสำหรับแสดงผลระบบเครื่องเสียง ระบบ Navigator และเป็นกล้องมองหลังพร้อมเส้นกราฟิกกะระยะ ถัดลงมาเป็นชุดควบคุมเครื่องปรับอากาศ และคอนโซลเกียร์ พวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนังปรับได้ 4 ทิศทาง ที่ก้านฝั่งขวามีสวิตช์ควบคุมครูสคอนโทรล และที่ด้านล่างซ้ายของพวงมาลัยมีสวิตช์รับ-วางสายโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อผ่านระบบ Bluetooth ที่เท้าแขนกลางเบาะหน้ามีช่องเสียบ USB เบาะผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ส่วนเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับมือ ผมว่าเรื่องความกว้างขวางของภายในทั้งตอนหน้า – หลังโอ่โถ่งระดับดี เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นมามาก แม้จะต้องศึกษาก่อนใช้งานเพื่อให้ใช้ได้ครบทุกออฟชั่น คุณภาพของวัสดุอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งหมด แต่จุดที่ชูในส่วนของการเก็บเสียงห้องโดยสารที่เพิ่มขึ้นมาถึง 5 จุดเท่าที่ผมสัมผัสยังมีการเล็ดรอดของเสียงจากลม และ สภาวะภายนอกอยู่พอสมควรครับ

 

เครื่องยนต์

All New HONDA Civic คันที่ผมใช้ทดสอบเป็น 1.8 E AT Navi เครื่องยนต์ เป็น SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC 1.8 ลิตร เสื้อสูบผลิตจากอะลูมิเนียมที่มีความทนทานสูง และมีการลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนภายในขณะเคลื่อนที่ ท่อร่วมไอดีแบบแปรผัน 2 จังหวะ และผลิตจากวัสดุแบบ Composite พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control พร้อม Direct Control และ Shift Hold System สามารถรีดแรงม้าสูงสุดได้ 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 174 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที และที่สำคัญสามารถใช้น้ำมัน E85 ได้ด้วย ตามคอนเซ็ปท์ของ HONDA ที่จะนำพลังงานทดแทนทุกรูปแบบมาใช้ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม

 

พอเริ่มสตาร์ทรถเราก็ต้องมาทำความรู้จักกับเจ้า i-MID ที่สามารถปรับเซ็ททุกอย่างในรถ โดยใช้เพียงปุ่มกดบนพวงมาลัย แต่ระหว่างที่ขับไม่สามารถปรับอะไรได้เลย เพราะเป็นระบบป้องกันเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของ HONDA ดังนั้นเราจึงต้องจอดรถเพื่อปรับตั้งค่าต่างๆ ให้เรียบร้อยทั้ง Up Load Wallpaper เป็นรูปที่เราต้องการ, เปลี่ยนสีหน้าจอ, ตั้งค่าไฟส่องสว่างในรถ, ตั้งค่าล็อคประตู และเชื่อมต่อโทรศัพท์ให้เรียบร้อย เพียงใช้การคอนโทรลจากปุ่มฟังค์ชั่นด้านซ้ายของพวงมาลัย จากนั้นผมก็เริ่มเดินทางต่อเพื่อลองสมรรถนะของเครื่องยนต์ ผมว่าความแรงไม่ได้ต่างจากรุ่นเดิมมากนัก ยังคงเป็นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรที่ขับสนุกเช่นเดิม ทั้งในรอบต้นและรอบปลาย ซึ่งความเร็วสูงสุดที่ผมทำได้ คือ 197 กม./ชม. แต่ที่น่าสนใจ คือ โหมด “ECON” เจ้าปุ่มเขียวๆ ด้านขวาของคอนโซล โดยเจ้าปุ่มนี้กดลงไปแล้ว จะคำนวนค่าการสั่งงานให้ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการตอบสนองให้ดีขึ้น โดยปรับเกียร์อัตโนมัติให้สอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์ ระบบปรับอากาศ ปรับจังหวะการเปิด-ปิด คอมเพรสเซอร์ให้เหมาะสม ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันให้กับตัวรถมากขึ้น การใช้โหมด “ECON” กับไม่ใช้ Feeling การขับขี่ก็ต่างกัน ถ้าต้องการให้ได้ Feeling การขับแบบ Sport แบบรุ่นเดิมอัตราเร่งดีๆ ขับสนุกๆ แต่ใช้เชื้อเพลิงมากสักหน่อย ก็ต้องเอาโหมด “ECON” ออก เพราะความเร็วต้องมาคู่กับการบริโภคน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณต้องการขับแบบประหยัดน้ำมันสูงสุด เพียงกด “ECON” แม้ความแรงจะหายไปบ้าง แต่ความประหยัดมีมาให้คุณแน่นอนครับ ดังนั้นทางวิศวกรจึงเพิ่มระบบนี้ขึ้นมา เพื่อเพิ่มสไตล์การขับขี่ให้หลากหลายมากขึ้น

 

ระบบ Eco Assist

ที่สำคัญยังมีระบบ Eco Assist ซึ่งแสดงผลบนแผงมาตรวัดช่วยให้รักษารูปแบบการขับขี่แบบประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง แถบแสดงผลประหยัดน้ำมันมีลักษณะเป็นแนวตั้งวางตัวอยู่มุมซ้ายและขวาของมาตรวัดความเร็ว ซึ่งจะเปลี่ยนตามรูปแบบการขับขี่ แถบสีฟ้าจะแสดงถึงประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในระดับปกติ และจะเปลี่ยนเป็นแถบสีเขียว เมื่อมีประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ระบบนี้จะมีการแสดงผลตลอดเวลาเพื่อให้ผู้ขับได้รับทราบถึงสไตล์การขับของตัวเองในขณะนั้น ซึ่งมีผลต่ออัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันของตัวรถและการเปลี่ยนสีของมาตรวัด จะเป็นการสะท้อนกลับมาช่วยให้ คุณสามารถปรับเปลี่ยนสไตล์การขับเพื่อความประหยัดน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ในเรื่องอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ยังอยู่ในช่วงเวลาที่น่าพอใจประมาณ 10 วินาที แต่ที่น่าสนใจ คือ ความต่อเนื่องราบเรียบในการทำงานประสานกันระหว่างเครื่องยนต์กับเกียร์ ส่วนในเรื่องอัตราสิ้นเปลือง ผมใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ในการทดสอบ เพราะว่าต่างจังหวัดหายากมากในส่วนของน้ำมันแก๊สโซฮอล E 85 ผมใช้ระยะทางการทดสอบ 371 กม. กับความเร็วเฉลี่ย 100 – 120 กม./ชม. เติมน้ำมันไป 983 บาท (ราคาน้ำมัน e10 ลิตรละ 43.75 บาท) ส่วนในเมืองวันที่ผมทดสอบรถติดมากๆ เพราะผมใช้เวลาเลิกงานรวมถึงใช้พื้นที่ย่านธุระกิจ กับระยะทางประมาณ 101 กม. เติมน้ำมันไป 378 บาท (ราคาน้ำมัน e10 ลิตรละ 43.75 บาท)

 

ระบบช่วงล่าง

มาถึงระบบช่วงล่าง เมื่อระยะฐานล้อสั้นลง และความกว้างช่วงล้อหน้า – หลังแคบลง เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม รวมทั้งเปลี่ยนระบบกันสะเทือนหลังจากปีกนก 2 ชั้น มาใช้เป็นแบบมัลติลิงก์ คำถาม คือ จะดีเหมือนรุ่นเดิมหรือไม่ จากที่ได้สัมผัสความนุ่มนวล การทรงตัวในการใช้งานทั่วไป ถือว่ายังมั่นใจได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ระบบพวงมาลัย และระบบควบคุมการบังคับทิศทางพวงมาลัย (Motion Adaptive Electric Power Steering System : MA-EPS เป็นที่น่าพอใจในความรู้สึกผมมากๆ พวงมาลัยที่แม่นยำ สมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีเยี่ยม คล่องตัวมากๆ แถมยังมีระบบ VSA ที่เข้ามาช่วยการทรงตัวให้ดีขึ้น ทำให้การยึดเกาะถนนดีขึ้นไปอีก

 

ระบบเบรก

ระบบเบรกมาพร้อมดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน พร้อมระบบ ABS ป้องกันล้อล็อค และ EBD ช่วยกระจายแรงเบรกให้เหมาะสม ด้วยการคำนวนด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ น้ำหนักในการเหยียบแป้นเบรกจะสัมพันธ์กับแรงเบรก ทำให้การเบรกนุ่มนวลมากขึ้น ดังนั้นคุณๆ ไม่ต้องห่วงว่าช่วงล่างจะดีไม่เท่าตัวเก่า เพราะจากการสัมผัสการทรงตัวไม่ได้เป็นสองลองใครเลย จะดีกว่าคันอื่นๆในด้านของความนิ่มนวลด้วยซ้ำ

 

  All New HONDA Civic 1.8 E AT Navi ราคา 964,000 บาท สิ่งที่คุณจะได้นอกจากภาพลักษณ์ที่ดีในการครอบครองรถจากค่ายนี้ บริการหลังการขายที่มีอยู่ทุกหัวระแหง และยังได้สมรรถนะที่ดีกับการใช้งานในทุกการเดินทาง และยังได้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาตอบโจทย์การใช้งานที่มากขึ้น ที่สำคัญยังใช้ได้กับน้ำมันตั้งแต่ E10 – E85 อีกด้วย แต่จะเป็นอย่างที่ผมว่ามาหรือไม่ คุณสามารถไปลองสัมผัสได้ด้วยตนเองทุกโชว์รูมของ HONDA ครับ

 


บทความแนะนำ

รีวิว : ฮอนด้า ซีวิค 1.8 EL “เพียงพอ” ครบทุกความต้องการ

ฮอนด้าแนะนำ ซีวิค ใหม่ เพิ่มความโดดเด่นสไตล์สปอร์ต ล้ำสมัย

รีวิว : HONDA  Civic & HONDA CR-V FUEL CHALLENGE แข่งขันประหยัดน้ำมันกันแบบข้ามประเทศ ในเส้นทางสุดหฤโหด กรุงเทพฯ – น่าน – หลวงพระบาง สปป. ลาว