เปิดเทคโนโลยีไฮบริดที่เหนือขั้นของ เอ็มจี กับระบบ HYBRID+ ใน ALL NEW MG3 HYBRID+ มอบทั้งสมรรถนะ และความประหยัดแบบไม่ต้องเลือก !!!
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ เอ็มจี ในประเทศไทย เตรียมนำเทคโนโลยีไฮบริดรุ่นใหม่ เข้ามาใส่ในโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดอย่าง ALL NEW MG3 HYBRID+ รถยนต์พลังงานทางเลือกที่มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัย ซึ่งจะเข้ามาจุดประกายตลาดรถยนต์ไทยอีกครั้ง
ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ซึ่งพัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATION ที่ผสานประสิทธิภาพอันทรงพลัง, ความประหยัด และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว สู่การยกระดับมาตรฐานรถยนต์ ไฮบริด ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ และสร้างอนาคตแห่งการเดินทางที่ยั่งยืน และการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบ
HYBRID+ ในแบบฉบับของ เอ็มจี ที่ทำงานได้อย่างลงตัวในทุกช่วงความเร็ว
หลังจากที่ ALL NEW MG3 HYBRID+ ทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งในประเทศอังกฤษ และประเทศชั้นนำในยุโรป รวมไปถึงทวีปอเมริกาอย่างประเทศเม็กซิโก ก่อนข้ามมาสร้างปรากฏการณ์อีกซีกโลก ทั้งในออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, อินเดีย และฟิลิปปินส์ ต่างได้รับเสียงตอบรับจากสื่อ และผู้ใช้งานถึงความโดดเด่นในเรื่องการเป็นยนตรกรรมที่มอบประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นทางเลือกที่ดี สำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุล ระหว่างสมรรถนะ และความประหยัด
โดยหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจในกลุ่ม B-Segment คือ ระบบ HYBRID+ ที่เหนือกว่าด้วยสมรรถนะอันทรงพลัง และการบริหารพลังงานในแบบฉบับรถไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อน ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า พร้อมแรงบิด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ผสานความแรงของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นใหม่จาก SAIC MOTOR CORPORATION ให้แรงม้าสูงสุด 102แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 รวมแรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร
ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สู่การเป็นโมเดลไฮบริดใหม่ ที่ครบสมบูรณ์แบบด้วยความเหนือชั้นของ 8 โหมดขับเคลื่อน ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid), ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์ และมอเตอร์ (Parallel Hybrid) หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน (Pure EV) โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่น และเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว
เจาะลึก 8 โหมดขับเคลื่อนของ ALL NEW MG3 HYBRID+ จากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงวิ่งแบบเต็มพลัง
“โหมดจอดหยุดนิ่ง” ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง (HV BATTERY) เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศ และระบบอื่นๆ ทำงานได้ โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน
“โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง” เมื่อออกตัวจากจุดหยุดนิ่งในช่วงความเร็ว 0 – 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถจะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วน (Pure EV) ให้ความรู้สึกนุ่มนวล และเงียบเหมือนรถไฟฟ้า พร้อมอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ทันใจ
“โหมดความเร็วที่วิ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่น” เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30 – 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงความเร็วต่ำ ใช้งานในเมือง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถ ทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น
“โหมดความเร็ววิ่งในเมือง” แต่หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50 – 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมือง ด้วยความเร็วปานกลาง โหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) จะช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟ ช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง
“โหมดความเร็ววิ่งคงที่” เมื่อวิ่งด้วยความเร็วคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกลระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้สามารถประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไปที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา
“โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง” ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงขับขี่ทางไกล หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ ทั้งเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูง จะทำงานร่วมกัน (Parallel Hybrid) ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันที เมื่อต้องการเร่งแซง หรือขึ้นทางชัน รถจะสามารถให้อัตราเร่งสูงสุด และตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดี เหนือกว่ารถไฮบริดทั่วไป
“โหมดความเร็วสูง” และเมื่อใช้ความเร็วสูง กับการขับทางไกลบนไฮเวย์ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไป ระบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ ไปหมุนเจนเนอเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่
“โหมดลดความเร็ว Regenerative” เมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง ซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด
ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความโดดเด่น และแตกต่างของระบบ HYBRID+ กับการผสานพลังอย่างลงตัวของเครื่องยนต์ ที่พัฒนาให้มีประสิทธิภาพ ในการทำงานกับระบบไฮบริดเพิ่มมากขึ้น พร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ และระบบ Hybrid Transmission ที่มี 3 อัตราทด ปรับทำงานอัตโนมัติ ช่วยให้เครื่องยนต์ที่ทำงานร่วมกับระบบ ไฮบริด มอเตอร์ มีช่วงการทำงานที่กว้างมากขึ้น ตอบสนองการเร่งในช่วงความเร็วต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยมีรอบการทำงานของเครื่องยนต์ที่ลดลง ที่สำคัญ ALL NEW MG3 HYBRID+ ยังใช้ ไฮบริด มอเตอร์ เป็นเทคโนโลยีมอเตอร์ตัวเดียวกับรถไฟฟ้าแบบ High-Performance Permanent Magnet Synchronous Motors อีกด้วย
และนี่คือ ระบบ HYBRID+ นวัตกรรมยานยนต์สู่การเป็น Green Mobility ที่พัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATIONที่ทำให้ ALL NEW MG3 HYBRID+ เป็นยนตรกรรมไฮบริดครั้งใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานรถยนต์ไฮบริด กับสมรรถนะที่ทำให้ผู้ขับขี่ได้รับความสนุก ครบเครื่อง และคุ้มค่ากว่าที่เคย เตรียมพบกับ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่มีกำหนดเปิดตัวในประเทศไทยเร็วๆ นี้ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านทุกช่องทางออนไลน์ของเอ็มจี