สังเกตง่ายๆ หาก “ไดชาร์จ (Alternator)” กำลังจะกลับบ้านเก่า
ไดชาร์จ หรือ Alternator คือ อีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญในรถยนต์ ในการทำหน้าที่ “ผลิตไฟฟ้า” เพื่อจ่ายให้กับระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าเค้ามี “อายุการใช้งาน” ฉะนั้นเรามาดูกันดีกว่า ว่าจะมีอาการอะไรบ้างที่บ่งบอกถึง “การเสื่อม”
สำหรับการทำงานของ ไดชาร์จ หรือ Alternator นั้นโดยใช้เครื่องยนต์ส่งกำลังสู่ข้อเหวี่ยง ซึ่งจะมีสายพานมาขับเคลื่อนให้ตัว “ไดชาร์จหมุน” และปั่นจ่ายไฟ โดยจะมีค่ามาตรฐานในการทำงานของไดชาร์จจะอยู่ที่ราวๆ 13-14 V ซึ่งถ้าค่า V ต่ำกว่านี้ นั่นหมายถึงรถมีปัญหา
เริ่มต้นจากเรื่องของ “ระบบไฟฟ้า” เป็นหลัก เนื่องจากเป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของ ซึ่งโดยปกติก่อนที่ไดชาร์จจะเสียมักมีสัญญาณเตือนออกมาจากตัวรถสามารถสังเกตได้อย่างง่ายดาย เช่น ไฟเตือนการทำงานของระบบต่างๆ จะขึ้นโชว์ที่หน้าปัด รวมไปถึงการทำงานต่างๆ ของระบบไฟในตัวรถที่เริ่มอ่อนแอลง เช่น ไฟหน้าที่สว่างน้อยลง รวมไปถึงระบบปรับอากาศในรถที่อาจจะเย็นน้อยลงกว่าเดิม
แถมอาจมีเรื่องของความร้อนเครื่องยนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะพัดลมไฟฟ้าหมุนได้ไม่แรงพอจะระบายความร้อน ตลอดจนสมรรถนะที่อาจจะตอบสนองไม่ดีเท่าที่ควร ไม่ว่าจะเป็นการเร่งแซง หรือ รอบเดินเบาที่อาจจะกระพือๆ ดับ จนต้องเร่งเครื่องยนต์ช่วย ซึ่งหนักๆ เข้า ก็อาจทำให้รถเครื่องดับกลางอากาศได้
ส่วนวิธีแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น หากเกิดอาการดังกล่าวขณะขับขี่ อันดับแรกพยายามลดการใช้งานระบบไฟฟ้าในรถให้มากที่สุด และเหลือใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียง, ระบบปรับอากาศ รวมถึงลดกระจกไฟฟ้าลงด้วย เช่นกันเพื่อป้องกันรถดับ จนทำให้กระจกไฟฟ้าใช้การไม่ได้ จากนั้นก็พยายามขับรถประคองไปให้ถึงศูนย์เพื่อเช็คโดยด่วน
เพราะการเสื่อมสภาพของไดชาร์จ ไม่ได้หมายความว่าจะมีอาการ “ไม่ชาร์จไฟ” อย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังสามารถเกิดอาการ “เพื้ยนๆ” อย่างการ “ชาร์จไฟเกิน” ได้อีกด้วย เพราะโดยปกติเมื่อไดชาร์จปั่นไฟจนเต็มแล้ว ระบบจะหยุดการทำงานโดยอัตโนมัติ
ซึ่งถ้าหาก ไดชาร์จ ยังคงปั่นไฟอยู่จนเกินกว่านั้นรับรองมีปัญหาแน่นอน เพราะกระแสไฟที่แรงเกินไปอาจะทำให้แผงวงจร หรือ สมองกลของตัวรถอย่าง ECU เกิดการลัดวงจรได้ ฉะนั้นจึงควรสังเกตให้ดี เพื่อไม่ให้เรื่องเล็กๆ อย่าง ไดชาร์จเสื่อม กลายเป็น “เรื่องใหญ่”