Audi e-tron S Sportback … พัฒนาการใหม่ของยนตรกรรมไฟฟ้าล้วน
ยังคงนำเสนอความก้าวล้ำอย่างสม่ำเสมอ สำหรับค่าย Audi ซึ่งล่าสุดเผยรายละเอียดของ 2 โมเดลพลังไฟฟ้า อย่าง Audi e-tron S และ Audi e-tron S Sportback เวอร์ชั่นล่าสุด ที่มาพร้อมกับพัฒนาการล่าสุด เพื่อยกระดับศักยภาพการขับขี่ให้มีความเร้าใจมากยิ่งขึ้น
Audi e-tron S Sportback เร้าใจด้วย “สไตล์” และ “สมรรถนะ”
สำหรับทั้ง 2 รุ่นแห่งอนุกรม e-tron จากค่าย Audi นั้นมากับจุดเด่นสำคัญ ด้านเทคโนโลยีการขับเคลื่อน โดยเฉพาะในรุ่นท็อปสุดอย่าง e-tron 55 ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาด 95 กิโลวัตต์ ที่สามารถสร้างพละกำลังได้ถึง 503 แรงม้า และแรงบิดมหาศาลถึง 973 นิวตันเมตร สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งไว้ถึง 3 ตำแหน่ง ประกอบด้วย 2 มอเตอร์ในล้อคู่หลัง และ 1 มอเตอร์สำหรับล้อคู่หน้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ Single-Speed โดยสามารถสร้างผลลัพธ์ด้านอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในระดับน้องๆ Super Car ด้วยตัวเลข 4.5 วินาที กับท็อปสปีดสูงสุดที่ 210 กม./ชม. ขณะที่การชาร์จไฟเต็มพิกัดเพียง 1 ครั้ง จะสามารถวิ่งทำระยะทางได้ถึง 360 กม. สำหรับรุ่น e-tron S และ 365 กม. สำหรับรุ่น e-tron S Sportback
ส่วนระบบขับเคลื่อนจะเป็นแบบ 4 ล้อ Electric All-Wheel Drive ที่ควบคุมโดยระบบ Electric Torque Vectoring ซึ่งจะส่งกำลังไปที่ล้อคู่หลังเป็นหลักสำหรับการขับขี่ปกติ ขณะที่การส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้าจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ขับขี่ต้องการสมรรถนะอัตราเร่ง หรือต้องการเสถียรภาพการยึดเกาะที่มากขึ้น เช่น การขับขี่ในโค้ง ที่จะมีการส่งถ่ายแรงบิดอย่างเหมาะสมให้กับล้อแต่ล้อข้าง ทั้งยังสามารถมอบอารมณ์การขับขี่แบบรถขับเคลื่อนล้อหลัง จากการปรับระบบ ESC ควบคู่ไปกับการเลือกใช้โหมด Sport จากฟังค์ชั่น Audi Drive Select
นอกจากนี้ระบบช่วงล่างแบบ Adaptive Air Auspension Sport ของเวอร์ชั่นที่เป็น S Model ยังได้รับการปรับแต่งใหม่ เพื่อรองรับรูปแบบการขับขี่ที่มี่ถึง 7 รูปแบบจากฟังค์ชั่น Audi Drive Select ด้วยการสูงตัวรถที่ขยับได้ถึง 76 มม. เพื่อสร้างความมั่นใจในการขับขี่ แม้จะติดตั้งล้ออัลลอยด์มาตรฐานขนาด 20 นิ้ว หรือออพชั่นขนาด 21-22 นิ้ว ก็ตาม ทั้งยังรวมถึงความมั่นใจจากระบบเบรกที่จับคู่จานขนาดใหญ่ พร้อมคาลิปเปอร์แบบ 6 Pot ที่ล้อหน้ามาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
มาที่ส่วนของรูปลักษณ์ ทั้ง 2 รุ่นจะมีความแตกต่างกันในส่วนของสไตล์ตัวถัง ซึ่งในรุ่น Sportback จะมากับลักษณะท้ายลาดคล้ายรถ Coupe ขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มขีดความสามารถด้านอากาศพลศาสตร์เพิ่มขึ้นจนได้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลดลงจาก 0.28 Cd เป็น 0.26 Cd เช่น การติดตั้งช่องดักอากาศแบบ Controllable เปิด-ปิดได้ เพื่อช่วยลดความร้อนให้กับระบบเบรกด้านหน้า ตลอดจนการออกแบบที่ทำให้กระแสลมไหลผ่านฝากระโปรงหน้าได้อย่างสะดวก โดยไม่ลดการปั่นป่วนของกระแสลม รวมถึงการติดตั้งระบบปั๊มทำความร้อนที่ช่วยสร้างพลังงานความร้อนที่สูญเสียไป กลับมาใช้ประโยชน์สำหรับการขับขี่ได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
และที่สำคัญ ตัวถังของทั้ง 2 รุ่น ยังถูกเพิ่มอารมณ์ความแข็งแกร่ง ด้วยความกว้างของซุ้มล้อที่เพิ่มขึ้นฝั่งละ 23 มม. และมาพร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุโทนสีเงิน และโครเมี่ยมทั้งด้านหน้า และด้านหลัง รวมไปถึงในส่วนของกระจกมองข้าง ซึ่งจะมีแบบดิจิตอล ให้เลือกเป็นออพชั่นติดตั้งเพิ่มเติม ส่วนอุปกรณ์มาตรฐานระดับไฮไลต์ทั้งภายนอก และภายในของทั้ง 2 รุ่นตัวถัง จะประกอบไปด้วย ชุดไฟหน้าแบบ Matrix LED, เบาะนั่งสปอร์ตแบบ Electrically Adjustable Sport Seats ซึ่งวัสดุส่วนใหญ่เน้นความสปอร์ตด้วยหนัง และ Alcantara ตลอดจนอลูมิเนียม โดยสามารถเลือกเปลี่ยนออพชั่นเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ได้เช่นกัน