Dodge Durango … เปิดตัวจอมโหด SUV ฝั่งอเมริกา
แบรนด์ Dodge จากฟากฝั่งอเมริกา เปิดตัวรถอเนกประสงค์ SUV สายโหดรุ่นล่าสุด Dodge Durango ที่ควงคู่มากับเวอร์ชั่นพิเศษสุดร้ายกาจ Durango Challenger และ Durango SRT Hellcat ที่มาพร้อมกับฐานะรถSUV ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยผลิตมา
เปิดไลน์อัพ Dodge Durango สู่เวอร์ชั่นที่สุดแห่งความทรงพลัง
ไฮไลต์ของ Durango เวอร์ชั่นปี 2021 คือ ทางเลือกของขุมพลังที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่เวอร์ชั่นพื้นฐานบล็อคเล็กสุดในพิกัด 3.6 ลิตรแบบ V6 ที่มีพละกำลังให้ใช้ถึง 295 แรงม้า และแรงบิดถึง 352 นิวตันเมตร ตามด้วยพิกัดใหญ่ขึ้นเป็น 5.7 ลิตร HEMI แบบ V8 ที่ขยับเรี่ยวแรงไปเป็น 360 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่มากถึง 528 นิวตันเมตร ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยี Cylinder-Deactivation ที่สามารถสั่งหยุดการทำงานของบางกระบอกสูบเพื่อเพิ่มความประหยัดเชื้อเพลิง
ส่วนเครื่องยนต์บล็อกใหญ่สุดสำหรับรุ่นมาตรฐานนั้นมากับขนาด 6.4 ลิตร HEMI แบบ V8 เช่นกัน แต่อัพเกรดพลังขึ้นไปถึง 475 แรงม้า พร้อมแรงบิดที่ตามไปถึง 637 นิวตันเมตร สร้างความทรงพลังเบาๆ ด้วยอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์/ชม. ได้ในเวลาเพียง 4.4 วินาที พร้อมด้วยตัวเลขควอเตอร์ไมล์ในระดับ 12.9 วินาทีเลยทีเดียว
แต่นั่นยังไม่โหดร้ายเท่ากับเวอร์ชั่น SRT Hellcat ที่มากับเครื่องยนต์พิกัด 6.2 ลิตร HEMI แบบ V8 เช่นกัน แต่เพิ่มเรี่ยวแรงด้วยระบบ Supercharged ปั่นกำลังสูงสุดออกมาได้ถึง 701 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาศาลที่ 874 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมติ 8 สปีด TorqueFlite 8HP95 และเคาะอัตราเร่งจาก 0-60 ไมล์/ชม. ได้ในเวลาเพียง 3.5 วินาที และเวลาควอเตอร์ไมล์ที่ 11.5 วินาที ขณะที่ท็อปสปีดสูงสุดนั้นทำได้ถึง 180 ไมล์/ชม. ซึ่งด้วยตัวเลขดังที่ว่ามา ทำให้ Durango ในเวอร์ชั่น SRT Hellcat ครองตำแหน่งรถอเนกประสงค์ SUV ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่ Dodge เคยสร้างขึ้นมาไปโดยปริยาย
ด้านรายละเอียดของรูปลักษณ์สำหรับรุ่นมาตรฐานนั้นมีการปรับโฉมใหม่ ที่ช่วยเพิ่มอารมณ์ความแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวอร์ชั่นโหดอย่าง SRT ทั้งยังมีการผสมผสานด้วยเอกลักษณ์จากโมเดล Charger Widebody โมเดลล่าสุด ในส่วนของด้านหน้า ประกบด้วยชุดไฟหน้าที่เลือกใช้เป็นแบบ LED พร้อมไฟ Daytime Running Lamps แบบ LED เช่นกัน ตามด้วยรายละเอียดที่สร้างความโดดเด่นต่างๆ เช่น งานออกแบบฝากระโปรงหน้า และสปอยเลอร์หลัง ขณะที่ล้ออัลลอยด์นั้นมากับทางเลือกลวดลายที่หลากหลายบนพื้นฐานขนาด 20 นิ้ว
ส่วนเวอร์ชั่นโหดนั้นเรียกว่าจัดสรรความโหดมาให้แบบเต็มขั้น ด้วยงานออกแบบที่เน้นอากาศพลศาสตร์เป็นหลัก เช่น ชุดไฟตัดหมอกบนกันชนหน้าที่ถูกถอดออก เพื่อเปลี่ยนไปช่องดักอากาศเต็มรูปแบบ ตามด้วยการติดตั้ง Splitter ที่ออกแบบขึ้นใหม่บริเวณใต้กันชนหน้า รวมถึงรายละเอียดของการออกแบบชุดกระจังหน้าที่ต่างกันไป โดยในเวอร์ชั่น Hellcat จะมาเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากกระสมลมเพื่อลดระบายร้อน มากกว่ารุ่นมาตรฐานที่เน้นความโดดเด่น และหรูหรา ด้วยลวดลายของกระจังแบบ Granite Crystal
ภายในห้องโดยสารได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบพื้นที่ผู้ขับขี่มาจากยนตรกรรมสมรรถนะสูงในค่ายอย่าง Challenger ทั้งยังมอบความกว้างขวางมาให้ตามสไตล์รถอเนกประสงค์ ตลอดจนอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับการอำนวยความสะดวก เช่น ชุดหน้าจอ Infortainment เจนเนอเรชั่นล่าสุด ที่มากับขนาดใหญ่ถึง 10.1 นิ้ว และปรับเอียงเข้าหาผู้ขับขี่เพิ่มขึ้นอีก 7 องศา
รับกับชุดพวงมาลัยดีไซน์ใหม่แบบ Flat-Bottom พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ Pasddle Shift ขณะที่การตกแต่ง และตัดเย็บนั้นจะต่างกันไปในแต่ละรุ่นย่อย โดยในบรรดาเวอร์ชั่นตัวแรงทั้งหลายจะมากับการตกแต่งเพิ่มเติมจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ผสมผสานด้วยวัสดุหนัง Nappa และไม่ลืมที่จะประทับตรา Hellcat ลงไป เพื่อบ่งบอกความเป็นยนตรกรรมสายโหด