7 เหตุผลที่ทำให้ Yaris (ยาริส) รถ Eco Car (อีโค่ คาร์) จาก Toyota (โตโยต้า) คือ ตัวเลือกอันดับต้นของคนไทย
ปัจจุบันความคิดของผู้บริโภคที่มีต่อรถขนาดเล็ก เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือ เป็นหลังมือ เลยก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะในเรื่องของประสิทธิภาพ แถมยังมาพร้อมความประหยัด และออพชั่นมากมาย ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ารถพิกัด 1.5 ทีเดียว โดยเฉพาะ Eco Car (อีโค่ คาร์) จาก Toyota (โตโยต้า) และนี่คือ 7 เหตุผลที่ทำให้ Yaris (ยาริส) กลายเป็นกระแสนิยมในเวลาอันรวดเร็ว
1. สมาชิกจากบ้าน Toyota (โตโยต้า) การันตีความน่าเชื่อถือ
แน่นอนครับว่าชื่อของเจ้าของแบรนด์ คือ สิ่งสำคัญ ซึ่งการันตีความน่าเชื่อถือ และชื่อ โตโยต้า เองก็เรียกได้ว่าเป็นเบอร์ต้นๆ ของเมืองไทย ที่ไว้วางใจได้ เพราะทำธุรกิจในเมืองไทยมาช้านานตั้งแต่ปี 2505 จนมาถึงปัจจุบันรวมแล้วเป็นเวลามากกว่า 50 ปี ประกอบกับเครือข่ายที่กว้างขวางทั่วประเทศไทยด้วย “โชว์รูมผู้แทนจำหน่าย 475 แห่งทั่วประเทศ” ที่สามารถทำได้อย่าง “ครบวงจร” ตั้งแต่ เลือกดู, ทดลองขับ ตลอดจนตัดสินใจซื้อ
พร้อมด้วยศูนย์บริการที่ไว้วางใจ และมั่นใจได้ในการให้คำปรึกษา ดูแลรักษารถยนต์ ด้วยทีมช่างผู้ชำนาญงานมากประสบการณ์ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้นนี่แหละ คือ เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคชาวไทยต่างยกให้แบรนด์ โตโยต้า คือ แบรนด์อันดับต้นๆ เสมอหากคิดจะเลือกซื้อรถซักคัน
2. ชื่อรุ่น Yaris (ยาริส) ปิดจ๊อบง่ายๆ ใครๆ ก็รู้จักดี
ชื่อรุ่น ยาริส คือ อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่การันตีความเร้าใจได้ในเรื่องของสมรรถนะ ตั้งแต่ยุคเครื่องยนต์พิกัด 1.5 ลิตรที่ “ฮิตติดลมบน” ทันทีตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในเมืองไทย ด้วยบุคคลิกที่เน้นความคล่องตัว ปราดเปรียว สร้างความเร้าใจได้ในทุกสไตล์การขับขี่
ซึ่งต่อยอดมาถึงยุคของเจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งแม้จะปรับตำแหน่งจากพิกัด 1.5 ลิตร มาสู่ 1.2 ลิตร แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ความเป็นยนตรกรรมที่มีสไตล์โดดเด่น เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ที่เน้นความสนุกในการขับขี่ และที่สำคัญการขยับพิกัดมาเป็น Eco Car นั้นยังมาพร้อมกับความประหยัด ซึ่งตอบโจทย์ผู้บริโภคชาวไทยในยุคน้ำมันแพงกว่าข้างแกงข้างถนนอีกด้วย
ฉะนั้นชื่อรุ่น ยาริส คือ สิ่งที่สามารถเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดีถึงบุคคลิก และสมรรถนะ ที่มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานด้วยยนตรกรรมพิกัดเล็กจาก โตโยต้า ได้แบบสบายๆ ขนาดเรียกว่าควักเงินซื้อได้ โดยไม่ต้องทดลองขับด้วยซ้ำ
3. ตอบโจทย์ด้วย 2 ทางเลือกทั้ง Hatchback และ Sedan
โตโยต้า ยาริส มากับ 2 ทางเลือกต่างสไตล์ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทั้งในเรื่องของสมรรถนะ และอรรถประโยชน์ใช้สอย คือ เวอร์ชั่น Sedan และเวอร์ชั่น Hatchback ทั้งยังมาพร้อมจุดเด่นสำคัญอย่างในเรื่องของมิติตัวถังที่มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงรถระดับ B-Segment ทำให้เรื่องความสะดวกสบาย และความกว้างขวางของห้องโดยสาร เป็นที่น่าประทับใจให้กับผู้ใช้งานได้แน่นอน
นอกจากนี้ห้องเก็บสัมภาระของรุ่นตัวถังซีดานยังมีขนาดใหญ่มากพอ สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน หรือการพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์ได้แบบสบายๆ เช่นเดียวกับในรุ่น Hatchback ที่สามารถเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้ง่ายๆ ด้วยพนักพิงเบาะนั่งด้านหลังที่ปรับพับได้แบบ 60:40
4. รุ่นย่อยมากมาย หากเงื่อนไข “ราคา” เป็นข้อกำหนด
ทั้งเวอร์ชั่น Sedan และเวอร์ชั่น Hatchback มาพร้อมกับรุ่นย่อยที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคตาม “กำลังทรัพย์” โดยจะประกอบไปด้วย ATIV ตัวถังแบบ Sedan ที่ให้เลือกถึง 5 รุ่นย่อย เริ่มจากรุ่นเริ่มต้น J Eco ในราคา 479,000 บาท, รุ่น J ราคา 529,000 บาท, รุ่น E ราคา 559,000 บาท, รุ่น G ราคา 609,000 บาท และรุ่นท็อปสุด S ราคา 635,000 บาท
ส่วนในรุ่น Hatchback นั้นมากับรุ่นย่อยที่มีให้เลือกกัน 4 รุ่น โดยเริ่มจากรุ่น J Eco ในราคา 489,000 บาท, รุ่น J ราคา 539,000 บาท, รุ่น E ราคา 569,000 บาท และตัวท็อปสุดรุ่น G กับราคา 619,000 บาท ซึ่งแต่ละรุ่นย่อยก็จะมาพร้อมกับ “ความคุ้มค่า” ภายใต้ราคาที่กำหนดมาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกเป็นเจ้าของกันได้ตามใจชอบ
5. ขุมพลัง 1.2 ลิตร พิชิตทุกการใช้งาน
ยาริส ทั้ง 2 เวอร์ชั่นตัวถังขับเคลื่อนด้วยขุมพลังบล็อคเดียวกัน ในรหัส 3NR-FE พิกัด 1.2 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC พร้อมระบบวาล์วแปรผัน DUAL VVT-i และระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงอิเล็กทรอนิกส์ EFI โดยสามารถผลิตกำลังสูงสุดได้ 86 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 108 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที
ส่วนระบบส่งกำลังนั้นเลือกใช้เกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Shift Lock ทำหน้าที่ถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งระบบเกียร์อัตโนมัติลูกนี้ได้มีการพัฒนาให้สามารถส่งถ่ายกำลังได้อย่างต่อเนื่อง และราบเรียบ ส่งผลให้มีการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น
โดยในเรื่องของเชื้อเพลิงนั้นสามารถรองรับได้ถึง E20 รวมถึงอัตราสิ้นเปลืองที่ผ่านการพิสูจน์ พร้อมการันตีด้วยตัวเลขระดับ 20กม./ลิตร ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการพัฒนาด้านเครื่องยนต์, ระบบส่งกำลัง และการออกแบบตัวถังตามหลักอากาศพลศาสตร์ ทั้งยังมาพร้อมกับความมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานค่าไอเสียในระดับ EURO4 อีกด้วย
6. ล้ำหน้าด้วยนวัตกรรมความปลอดภัย
ในส่วนของระบบความปลอดภัย เรียกได้ว่าทั้ง 2 รุ่น จัดมาให้อย่างเต็มพิกัดในรุ่นท็อป ทั้งแบบ Active Safety และ Passive Safety โดยในรุ่นตัวถัง Sedan อย่าง ATIV นั้นประกอบด้วย ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED (LED Daytime Running Lights), ไฟตัดหมอกหน้า, สัญญาณกะระยะถอยหลัง, กล้องมองหลัง, ไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED, ระบบเซ็นทรัลล็อก, ระบบละลายฝ้ากระจกหลัง
ในขณะที่ระบบความปลอดภัยในขณะขับขี่ นั้นมากับระบบเบรก ABS/EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA, ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, ถุงลมเสริมความปลอดภัย คู่หน้า/ด้านข้าง, ถุงลมเสริมความปลอดภัย ม่านด้านข้าง/หัวเข่าฝั่งคนขับ
ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับอัตโนมัติ ELR 3 จุด 2 ที่นั่ง พร้อมระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัยคู่หน้า, เข็มขัดนิรภัยเบาะหลัง ELR 3 จุด 3 ที่นั่ง แล้วก็ยังมีเบาะนั่งคู่หน้าแบบ WIL (Whiplash Injury Lessening), ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer, ระบบเตือนการโจรกรรม TDS (Theft Deterrent System) และชุดซ่อมยางฉุกเฉิน
ซึ่งออพชั่นระบบความปลอดภัยที่กล่าวมาทั้งหมดในรุ่นตัวถังแบบ Hatchback ก็มีมาให้เช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ไม่มี “กล้องมองหลัง” เท่านั้น เพราะ “กล้องมองหลัง” จะช่วยให้การกะระยะถอยจอดในรถตัวถัง Sedan ทำได้สะดวก และปลอดภัยกว่า เนื่องจากตัวถังสไตล์ Hatchback นั้นมีความง่าย และสะดวกกว่าในการกะระยะถอยจอด
7. Accessories โดนๆ ตามมาตรฐาน เพื่อสรรค์สร้างยนตรกรรมสไตล์คุณ
อีกหนึ่งจุดเด่นที่เหนือกว่า ก็คือ เรื่องของการตกแต่งที่ไม่ต้องพูดถึง “ของนอกบ้าน” เพราะเอาแค่ “ของในบ้าน” ก็สามารถเพลิดเพลินในการสร้างยนตรกรรมในสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเองได้ไม่ยาก เพราะเค้ามีชุด Accessories ให้เลือกใส่กันอีกเพียบ โดยในรุ่น Hatchback นั้นก็มีให้เลือกกันตั้งแต่ชุดแต่งสปอร์ตภยนอกรอบคัน
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะภายในห้องโดยสารก็สามารถใส่ชุดแต่งได้อีกด้วยเช่นกัน ซึ่งจะมีในส่วนของคอนโซลหน้า และชุดแผงสวิทช์กระจกที่เลือกได้ว่าจะเป็นสีแดง หรือสีแชมเปญ รวมไปถึงของแต่งจากสำนักคู่บุญอย่าง TRD อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีของแต่งในส่วนของระบบอิเล็คทรอนิกส์เพิ่มเติมอีกด้วย ไม่ว่าจะสัญญาณกะระยะถอยหลัง หรือมุมกันชน ตลอดจนชุดแตรอัพเกรด ไปจนถึงกล้องติดรถยนต์จากโรงงานโตโยต้า ก็มีให้
ส่วนเวอร์ชั่น Sedan อย่าง ATIV นี่ต้องบอกว่าทีเด็ด เพราะ Accessories โรงงานนั้นจัดมาให้แบบ “แน่นๆ” โดยเฉพาะภายนอกที่มากันมากมาย สามารถเลือกกันได้อย่างจุใจ จนกว่าจะได้สไตล์ที่ชอบ ในขณะที่ชุดตกแต่งภายในห้องโดยสาร และชุดแต่งด้านระบบอิเล็กทรอนิกส์ นั้นก็จัดมาให้ในรูปแบบเดียวกับเวอร์ชั่น Hatchback แต่เท่านั้นยังไม่พอ เพราะเค้ามี Accessories แบบ Utility Package เอาไว้สร้างความสะดวกสบายกันให้จุใจไปเลยทีเดียว
ซึ่งเอาตรงๆ บอกเลยว่าเราเองก็ยังไม่เคยเห็นรถ Eco Car รุ่นไหนที่จัด Accessories มาให้เลือกใส่กัน มากเท่านี้มาก่อนเลยจริงๆ และยิ่งเมื่อประกอบกับข้ออื่นๆ ด้วยแล้วล่ะก็ คงไม่มีอะไรต้องแปลกใจแล้วล่ะครับ ว่าทำไม Eco Car (อีโค่ คาร์) จาก Toyota (โตโยต้า) จะกลายเป็นขวัญใจมหาชนในเวลาอันรวดเร็ว
ราคารถใหม่ Toyota Yaris & Yaris ATIV
Toyota Yaris รุ่น J Eco ราคา 489,000 บาท
Toyota Yaris รุ่น J ราคา 539,000 บาท
Toyota Yaris รุ่น E ราคา 569,000 บาท
Toyota Yaris รุ่น G ราคา 619,000 บาท
Toyota Yaris ATIV รุ่น J Eco ราคา 479,000 บาท
Toyota Yaris ATIV รุ่น J ราคา 529,000 บาท
Toyota Yaris ATIV รุ่น E ราคา 559,000 บาท
Toyota Yaris ATIV รุ่น G ราคา 609,000 บาท
Toyota Yaris ATIV รุ่น S ราคา 635,000 บาท