5 เรื่องที่หลายคนยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “แกร็บ” (Grab)
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “แกร็บ” (Grab) แอปพลิเคชั่นเรียกรถสุดฮอตที่เปิดให้บริการในเมืองไทยมาแล้วกว่า 6 ปี โดยปัจจุบันได้ขยายธุรกิจไปในบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สั่งอาหารออนไลน์ผ่าน GrabFood, บริการส่งพัสดุ หรือสิ่งของผ่าน GrabExpress, ฟีเจอร์สั่งซื้อของสด หรือสินค้าจากซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Groceries รวมไปถึงบริการทางการเงินต่างๆ ผ่าน GrabPay
และถึงแม้ว่าคนไทยจะคุ้นชินกับเรามาเกินกว่าครึ่งทศวรรษ แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่หลายคนยังคงเข้าใจผิดอยู่บ้าง ซึ่งวันนี้เราจะมาดูกันว่า 5 ประเด็นหลักที่หลายคนยังสับสนเกี่ยวกับแกร็บประเทศไทย คือ อะไรบ้าง
“Grab” เป็นบริษัทต่างชาติ ไม่เสียภาษี … ?
แม้ว่าแอปพลิเคชัน Grab จะริเริ่ม และก่อตั้งโดย 2 นักธุรกิจชาวมาเลเซียอย่าง แอนโทนี ตัน และฮุย หลิง ตัน แต่เมื่อเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2556 โดยได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทสัญชาติไทยอย่างถูกต้องกับกระทรวงพาณิชย์ภายใต้ชื่อ “บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จำกัด” ด้วยทุนจดทะเบียน 2,880 ล้านบาท
และปัจจุบัน แกร็บ ประเทศไทย มีบริษัทไทยถือหุ้นอยู่ถึง 75% โดยหนึ่งในนั้นคือ กลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งได้ประกาศการลงทุนในแกร็บ ประเทศไทยช่วงต้นปี 2562 ที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าสูงถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 6,200 ล้านบาท และในฐานะบริษัทไทย “แกร็บ ประเทศไทย” จึงมีหน้าที่ในการเสียภาษีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ อาทิ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมายของกรมสรรพากรอย่างเคร่งครัดไม่ต่างไปจากบริษัทไทยทั่วไป
นั่ง “แกร็บ” มีความเสี่ยง ไร้ความคุ้มครอง … ?
คนที่ไม่เคยใช้บริการเรียกรถผ่านแอปอาจจะรู้สึกเสี่ยง หรือมีความกังวลในเรื่องปลอดภัย สำหรับบริษัทผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นเรียกรถชั้นนำระดับโลกแล้ว ความปลอดภัยในการเดินทางของผู้โดยสารถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สุด ซึ่งเราให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัย อาทิ เทคโนโลยียืนยันตัวตนด้วยการเซลฟี่ของทั้งคนขับ และผู้โดยสาร เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับทั้งสองฝ่าย
รวมถึงฟีเจอร์ Share My Ride ซึ่งผู้โดยสารสามารถแชร์รายละเอียดการเดินทางให้ครอบครัว หรือเพื่อนได้รับทราบ ทั้งตำแหน่งของรถ, เส้นทางการเดินทาง, รายละเอียดของคนขับทั้งชื่อ-นามสกุล และภาพถ่าย รวมถึงระยะเวลาโดยประมาณที่ผู้โดยสารจะไปถึงจุดหมาย หรือแม้กระทั่งปุ่มขอความช่วยเหลือ เพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน
นอกจากนี้ยังมี Call Center ที่คอยให้ความช่วยเหลือทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง และที่สำคัญเรายังได้ทำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลที่คุ้มครองทั้งผู้โดยสาร และคนขับในทุกเที่ยวการเดินทาง โดยมีวงเงินคุ้มครองสูงสุดถึง 100,000 บาท ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ รวมถึงทุนประกันชีวิตสูงสุดถึง 200,000 บาท
ใครๆ ก็ขับได้ เท่ากับ เปิดช่องให้เกิดอาชญากรรมจริงหรือ?
ถึงแม้ว่าเราจะเปิดโอกาสให้คนที่มีรถยนต์ส่วนบุคคลสามารถหารายได้เสริมจากการให้บริการรับส่งผู้โดยสารด้วยการเรียกผ่านแอป แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถขับได้ เพราะคนที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ของเราจะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองที่เข้มงวด โดยมีการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมย้อนหลังถึง 7 ปี ซึ่งหากพบประวัติเคยกระทำความผิดทางกฎหมายใดๆ ก็จะไม่สามารถให้บริการได้ และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้วคนขับจะต้องผ่านการอบรมด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคในการรับงาน, มารยาทในการให้บริการ และมาตรความปลอดภัย รวมทั้งมีการกำหนดหลักปฏิบัติ และจรรยาบรรณ เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานให้กับคนขับทุกคน
นอกจากนี้ ้เรายังรับฟังความคิดเห็นของผู้โดยสาร เพื่อนำไปปรับปรุงการให้บริการอยู่เสมอ โดยมีระบบการให้คะแนนหลังการเดินทาง ซึ่งถือเป็นการประเมินผลการให้บริการของคนขับไปในตัว ซึ่งจะส่งผลต่อค่าตอบแทน, โบนัส และสิทธิประโยชน์อื่นๆ หากในกรณีที่คนขับกระทำความผิด หรือฝ่าฝืนข้อบังคับต่างๆ เราก็มีระบบการสั่งแบนคนขับ หรือระงับสัญญาณการให้บริการ ในระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง อีกทั้งเรายังพร้อมให้การสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในด้านข้อมูลของคนขับเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวน
เอาเปรียบคนขับ ทำนาบนหลังคน … ?
บางคนคิดว่าเราเอาเปรียบคนขับจากการหักเปอร์เซ็นต์ค่าบริการ โดยอาจไม่ทราบว่าอันที่จริงแล้วเราให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนขับมาตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจ เพราะปัจจุบันมีพาร์ทเนอร์คนขับนับแสนที่ใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชั่นในการสร้างรายได้จากอาชีพอิสระ โดยนอกจากค่าโดยสารแล้ว คนขับยังได้รับผลตอบแทนในรูปแบบอื่นๆ อย่างเช่น โบนัส, อินเซนทีฟ หรือส่วนลดค่าคอมมิชชัน
นอกจากนี้ ยังมีสิทธิประโยชน์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ประกันสุขภาพ, การผ่อนชำระสินค้ารายวัน, การให้สินเชื่อ, ส่วนลดจากพันธมิตร ทั้งบริการที่เกี่ยวกับการซ่อมบำรุงรถ, น้ำมัน, อาหาร, ท่องเที่ยว รวมถึงการจัดกิจกรรมพิเศษ และคอร์สอบรมต่างๆ ทุกเดือน เพื่อเพิ่มพูนความรู้ และพัฒนาทักษะให้กับคนขับ
นอกเหนือจากคนขับแล้ว แกร็บยังดูแลไปถึงครอบครัวด้วย โดยหนึ่งในโครงการสำคัญที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2561 คือ Grab The Future เพื่อมอบทุนการศึกษาให้กับบุตรของพาร์ทเนอร์คนขับ โดยปัจจุบันแกร็บมอบทุนไปแล้ว 4 ล้านบาท ครอบคลุม 700 ครอบครัว
แย่งงานแท็กซี่ … ?
หลายคนคิดว่าบริการการเดินทางของเรามีเฉพาะที่เป็นรถยนต์ส่วนบุคคลเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วยังมีคนขับแท็กซี่ที่เห็นประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีในการหาผู้โดยสารอยู่บนแพลตฟอร์มของเราอีกเป็นจำนวนมาก และปัจจุบันมีคนขับรถแท็กซี่หลายหมื่นคนที่รับงานผ่านแอปพลิเคชั่น Grab ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงผู้โดยสาร จากเดิมที่ต้องรอผู้โดยสารโบกเรียกตามท้องถนนเพียงอย่างเดียว
โดยจากผลวิจัยของศูนย์ให้คำปรึกษา และพัฒนาผู้บริหารทางธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้สำรวจความคิดเห็นของคนขับแท็กซี่เมื่อเร็วๆ นี้พบว่า 99% ของคนขับแท็กซี่บอกว่าแอปพลิเคชั่นเรียกรถ ช่วยให้เข้าถึงผู้โดยสาร และทำให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น
จากการใช้เทคโนโลยีของที่ทำให้คนขับทราบจุดหมายปลายทางของผู้โดยสารล่วงหน้า และสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับเส้นทางที่คนขับสะดวก ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสาร นอกจากนี้การมีระบบ GPS ที่ช่วยแนะนำเส้นทาง รวมถึงฟีเจอร์แปลภาษาก็ยังช่วยให้คนขับสามารถสื่อสารกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้อย่างง่ายขึ้นอีกด้วย