รีวิว : Honda CR-Z Hybrid ( ฮอนด้า ซีอาร์-ซีร์ ไฮบริด ) ความงดงามในรูปลักษณ์ที่แปลกตา
หลังจากที่ค่าย HONDA นำรถนำเข้ามาจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่น ก็เป็นที่หมายปองของผู้บริโภคที่ต้องการความแตกต่างบนท้องถนน แต่ที่โดนเด่นคงจะต้องยกให้เจ้าสปอร์ตคูเป้ ที่มีนามว่า Honda CR-Z Hybrid ( ฮอนด้า ซีอาร์-ซีร์ ไฮบริด ) ซึ่งมาด้วยความงดงามในรูปลักษณ์ที่แปลกตา และเครื่องยนต์รักษ์โลกอย่าง HYBRID ที่มีความแรงให้สัมผัสอยู่ไม่น้อย
หน้าประวัติศาสตร์เริ่มต้น 1983
ก่อนจะมาเป็น CRZ ในวันนี้รถยนต์สายพันธุ์ Sport Coupe ขนาดเล็กจากค่าย HONDA เริ่มพัฒนา มาตั้งแต่ช่วงต้นปี 1983 โดยใช้ชื่อว่า Honda BALLADE SPORT CR-X จนมาถึงวันนี้ปรับเปลี่ยนมาเป็น CR-Z ที่ย่อมาจาก “ Compact Renaissance Zero “ และมีตัวรถ Concept Car ออกมาให้ทุกๆ ท่านยลโฉมครั้งแรกในปี 2007 แต่อาจจะใส่ความไฮเทคลงไปในทุกอนูจนเกินความจำเป็นที่จะมาใช้บนท้องถนน พอปี 2009 ในงานโตเกียวมอเตอร์โชว์ Concept Car CRZ ก็ออกมาอีกครั้ง
แต่คราวนี้รูปลักษณ์ ภายนอก ภายใน เหมาะที่จะเข้าสู่สายการผลิตมากขึ้น สุดท้ายเริ่มออกมาวางตลาดในปี 2011 แต่ที่เราจะนำมาทดสอบในวันนี้เป็น HONDA CRZ ปี 2012 ใหม่ล่าสุดที่ค่าย HONDA นำเข้ามาจำหน่ายเองในเมืองไทย
One-motion
การออกแบบภายนอกเป็น “one-motion” หรือ “หนึ่งความเคลื่อนไหว” การออกแบบเช่นนี้จะเป็นเป็นรถแนวสั้นๆ พร้อมหลักอากาศพลศาสตร์เป็นเลิศ ดังนั้นการออกแบบจะเป็นแบบรูป “ลิ่ม” โดยใช้แนวฝากระโปรงลาดต่ำ เพื่อตักลมออกอย่างรวดเร็ว แต่ที่ผมชอบเลยคงเป็นส่วนฝากระโปรงที่ติดกับกระจกบานหน้า มีการเว้าร่องลึกลงไปซ่อนที่ปัดน้ำฝน เพื่อให้อากาศไม่ไปปะทะที่ปัดน้ำฝน ส่วนเรื่องเส้นสายการออกแบบเน้นเส้นที่คมกริบจากหัวถึงท้าย เติมแต่งให้โดดเด่นงดงามด้วยไฟฟน้าแบบมัลติรีเฟลกเตอร์ ที่มีการผสมผสานระหว่างความสปอร์ต หรูหรา ล้ำสมัย ได้ลงตัวมากๆ เพราะตัวโคมเป็นสีดำ กรอบในของไฟมีการตัดเหลียมคล้ายกับการเจียระไนเพชร และเติมเลนสีฟ้าแห่งความเป็น HYBRID พร้อมไฟตัดหมอกที่ฝั่งอยู่ในกันชน ส่วนด้านท้ายเน้นความล้ำสมัยสูงสุดด้วยไฟท้ายแบบ LED
เรื่องความงดงามของภายนอกคงเป็นเรื่องของนานาจิตตัง แต่สำหรับผมมันลงตัวดีครับ ยิ่งประกอบไฟหน้าที่ใส่ใจในการออกแบบขนาดนี้ลงไป ทำให้โดดเด่นไม่น้อย แต่ถ้าใครได้ทดลองขับคงต้องยอมรับในเรื่องของ หลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีของเจ้าคันนี้
2+2 ที่นั่งสปอร์ตร้อยเปอร์เซ็นต์
เปิดประตูเข้ามาชมภายในจะเป็นรถสปอร์ตแบบ 2+2 ที่นั่ง โดยใส่เทคโนโลยีมาเต็มเปี่ยม ซึ่งความโดดเด่นต้องยกให้กับเรือนไมล์ที่ให้สีสันโดนใจ สามารถปรับเปลี่ยนสีได้ตามสไตล์การขับขี่ เช่น หากขับแบบประหยัด เรือนไมลล์จะเป็นสีเขียว ขับแบบปกติ เป็นสีน้ำเงิน และขับแบบสปอร์ต จะเป็นสีแดง พร้อมพน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ Multi Information Display ที่แสดงข้อมูลต่างๆ มากมาย เช่น ระยะทาง, การส่งกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องยนต์, ค่าเฉลี่ยการใช้น้ำมัน และฯลฯ ส่วนด้านขวาของเรือนไมล์เป็นส่วนของการปรับโหมดการขับขี่, ปรับกระจกมองข้าง และส่วนที่เห็นเป็นรูปรถนั้นเป็น ปุ่ม เปิด-ปิด ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ด้านซ้ายของเรือนไมล์เป็นส่วนควบคุมระบบปรับอากาศ ขยับขึ้นมาเป็นพวงมาลัยแบบ 3 ก้านปรับได้ 4 ทิศทาง พร้อม Paddle Shift, มัลติฟังค์ชั่นความควบเครื่องเสียง ควบคุมหน้าจอแสดงผลข้อมูล Multi Information Display และ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control System ขยับมากลางคอนโซลจะเป็นเป็นจอ Navi ส่วนเบาะนั่งเป็นแบบ 2+2 ที่นั่ง ซึ่งคู่หน้าเป็นทรงสปอร์ต ส่วนด้านหลังอาจจะนั่งลำบากไปสักหน่อย เพราะมันเป็นรถสปอร์ตขนาดเล็ก แต่เบาะหลังสามารถพับลงเพื่อเพิ่มพื้นที่การเก็บสัมภาระได้ มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ด้วยระบบถุงลม 6 ตำแหน่ง คือ ถุงลมคู่หน้า (Dual SRS) ถุงลมด้านข้างคู่หน้า อัจฉริยะ (i-Side Airbags) และม่านถุงลม ด้านข้าง (SideCurtain Airbags)
ภายใน
ในส่วนของภายในถ้ามองในมุมว่าเป็นรถสปอร์ต มันก็สามารถตอบโจทย์การออกแบบได้ลงตัว เพราะเวลานั่งลงที่เบาะจะได้อารมณ์ความสปอร์ตที่ชัดเจน ขับสนุก ทัศนะวิสัยด้านหน้าดี มุมมองของด้านหน้าชัดเจน แต่ด้วยตัวรถสั้นมาก ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะไม่ค่อยชินต้องปรับกระจกข้างดีๆ สักนิด เรื่องการเก็บเสียง เรื่องนี้ดีเงียบสนิมเยี่ยมมาก แต่ถ้าเป็นรถสำหรับเดินทางไกลๆ ผมว่าขับนานๆ สัก 2 ชม.มีอาการเมื่อยอยู่พอสมควร
1.5 L HYBRID ตอบสนองทุกอารมณ์
ออกเดินด้วยขุมพลังเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว SOHC ขนาดความจุกระบอกสูบ 1497 ซีซี i-VTEC ให้กำลังสูงสุด 113 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 14.7 กิโลกรัม-เมตร ที่ความเร็วรอบ 4,800 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้า IMA (Integrated Motor Assist) ขนาดเล็ก น้ำหนักเบาแต่มีประสิทธิภาพสูง สำหรับมอเตอร์ไฟฟ้าสามารถให้กำลังสูงสุดออกมา 14 แรงม้า ที่ 1,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 8 กิโลกรัม-เมตร ที่ 1,000 รอบต่อนาที ระบบส่งกำลังเป็นแบบระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT เครื่องยนต์บล็อคนี้ Honda ใส่ความล้ำสมัยด้วยระบบ การขับขี่แบบ 3 โหมด พร้อมระบบช่วยการ ขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน ECO Assist เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ขับขี่ (>)ECON Mode ผมออกเดินทางด้วยโหมดนี้ ซึ่งเน้นความประหยัดเป็นหลัก เมื่อกดปุ่มด้านขวาที่เขียนว่า “ECON” จะมีรูปใบไม้สีเขียนขึ้นที่เรือนไมล์ ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Drive-by-Wire มีการตอบสนองที่ดีขึ้น การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติก็จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานเครื่องยนต์ รวมถึงระบบปรับอากาศด้วย ช่วงขณะขับขี่ เมื่อเราเหยียบเบรกรถ และรถอยู่ในช่วงใกล้หยุดนิ่ง หรือรถหยุดนิ่งแบบสนิท เครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าจะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะตัดการทำงานเครื่องยนต์รวมถึงคอมเพรสเซอร์แอร์ เพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน และเข้าสู่โหมด Idling Stop พอปล่อยเบรกเปลี่ยนมากดคันเร่งเครื่องยนต์ก็จะติดออกตัวไปได้เช่นเดิม หรือถ้าเราเหยียบคันเร่งน้อยๆ และมีไฟฟ้าในแบตเตอรี่เพียงพอ มอเตอร์ไฟฟ้าก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนแทน (Idling Stop เปิดอัตโนมัติในทุกโหมด) ในโหมดนี้ปรับแต่งค่าต่างๆ ให้มีความประหยัดน้ำมันในขณะขับขี่สูงสุดผมลองขับ 90 กม./ชม. อัตราการใช้น้ำมันทะลุ 20 กม./ลิตร สบายๆ
Sport Mode
“Normal Mode” เป็นโหมดที่ตั้งค่าทุกอย่างไว้กลางๆ เพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน อารมณ์ในการขับไม่ได้ต่างอะไรกับ ECON Mode มากนัก จึงขอข้ามมาที่ “Sport Mode” ในโหมดนี้เป็นการเรียกสมรรถนะความแรงของเครื่องยนต์บวกมอเตอร์ไฟฟ้าออกมาเต็มที่ แค่เพียงกดปุ่ม “Sport” อย่างแรกที่รู้สึก คือ น้ำหนักของพวงมาลัยมีน้ำหนักมากขึ้น เพื่อให้เหมาะกับการขับขี่ความเร็วสูง อัตราทดของเกียร์แปลงผันให้ในการใช้รอบสูง จังหวะการเปลี่ยนเกียร์อยู่ในตำแหน่งของแรงม้าสูงสุดถ้าคุณเหยียบคันเร่งจม อารมณ์การขับจะต่างจาก 2 โหมดแรกโดยสิ้นเชิง ถ้าเปรียบกับเครื่องยนต์พิกัดเดียวกันผมถือว่าแรงดีครับ ความเร็วปลาย 185 กม./ชม. แต่ยังสามารถไปได้อีกเล็กน้อย
สปอร์ตเป็นเลิศ
ระบบช่วงล่างของ CRZ ด้านหน้าเป็นแบบแม็กฟอร์สัน สตรัท อิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นทอร์ชั่นบีม พร้อมระบบช่วยควบคุมการทรงตัว VSA ล้ออัลลอย 16 นิ้ว ส่วนระบบพวงมาลัยนั้นเป็น แร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS) จากที่ผมได้สัมผัส การเข้าโค้งทำได้ดี ส่วนในทางตรงสำหรับการเดินทางบนถนนถ้าไม่ขรุขระก็ไม่แข็งจนเกินไป ถือว่าผ่านครับ
HONDA CRZ ปี 2012 ในราคา 1,975,000 บาท คุ้มหรือไม่คุณต้องเป็นคนตัดสินครับ แต่สำหรับผม…ผมรู้สึกถึงรถสปอร์ตที่มีพละกำลังพอดิบพอดีที่จะโลดแล่นในเมือง และยังได้รถยนต์ที่ประหยัดเหนือ ECO CAR มาขับใช้อีกหนึ่งคัน หากท่านใดสนใจเชิญสัมผัสที่โชว์รูม HONDA ทั่วประเทศครับ
http://www.youtube.com/watch?v=rby7iOQTmB8
บทความแนะนำ
เปรียบเทียบ “หมัดต่อหมัด” Honda Accord 2018 & Toyota Camry 2018 (ยก 2)