เผยรายละเอียด Lamborghini Revuelto … พลิกโฉมประวัติศาสตร์ใหม่ ค่ายกระทิงเปลี่ยว
Automobili Lamborghini ฉลองครบรอบ 60 ปี เปิดตัว Lamborghini Revuelto ยนตรกรรม Super Sport แบบ HPEV – High Performance Electrified Vehicle สร้างมาตรฐานใหม่ ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน V12 พร้อมระบบ Plug-in Hybrid เป็นรุ่นแรกของโลก
Revuelto ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อฉีกกรอบเดิมๆ แต่ก็ยังคงตั้งอยู่บนแนวทางของแบรนด์อย่างแท้จริง ว่ากันตั้งแต่นวัตกรรมโครงสร้างตัวถังแบบ Monofuselage ซึ่งมีพื้นฐานมาจากแรงบันดาลใจของตัวถัง Monocoque ที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน รวมถึงองค์ประกอบต่างๆ ที่สร้างขึ้นจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ จนทำให้ Revuelto เป็นรุ่นแรกที่ใช้โครงสร้างด้านหน้าเป็นคาร์บอนไฟเบอร์ 100%
และมาพร้อมคุณสมบัติที่โดดเด่นก็คือ น้ำหนักเบา แต่แข็งแรงสามารถทนต่อแรงบิดได้สูง ซึ่งหากเทียบกับ Aventador จะพบว่ามีน้ำหนักโดยรวมที่เบากว่าราว 10% โดยเฉพาะด้านหน้าอย่างเดียวสามารถทำน้ำหนักให้เบากว่าได้ถึง 20% พร้อมกับมีความแข็งแกร่งที่มากขึ้นถึงกว่า 25% แถมยังกระจายน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยมด้วยอัตราส่วนถึง 44% ในด้านหน้า และ 56% ในด้านหลัง
ขณะที่รูปลักษณ์ใหม่ ยังคงยึดมั่นในความ Exclusive ผสมผสานด้วยงานดีไซน์ที่ล้ำหน้าแบบก้าวกระโดด ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากอุตสาหกรรมการบิน และเครื่องยนต์ V12 ในตำนาน ด้วยต้นแบบจากรุ่น Countach ปี 1971 ตลอดจนเรื่องของสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบจากรุ่น Diablo มาช่วยสร้างสไตล์ที่งดงามอย่างแท้จริง และความบึกบึน แข็งแกร่งของมุมมองด้านหน้าเหมือนในรุ่น Murciélago
ทั้งยังรวมไปถึงหนึ่งในองค์ประกอบอันโดดเด่น เช่น รูปทรงแบบ Shark-nose ของฝากระโปรงหน้าขนาดใหญ่, งานออกแบบแนวร่วมสมัยของตัววาย (Y) ในชุดไฟหน้า ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ระดับ Flagship Iconic ของยุค ล้อมด้วยชุด Aerodynamic Blades ที่เชื่อมต่อกับ Splitter ไปจนถึงฝาครอบ
ขณะที่ครีบ Fin ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านหลังซุ้มล้อหน้า ช่วยนำอากาศไหลไปตามด้านข้างสู่ช่องดักอากาศ ซึ่งมีลักษณะเป็นสันคมสะท้อนรูปทรงหัวลูกศรอย่างงดงาม อีกทั้งยังมีแนวเส้นหลังคาที่ออกแบบให้มีความโค้งเหนือศีรษะมากกว่ารุ่น Aventador Ultimae ถึง 26 มม. เพื่อเพิ่มสุนทรียศาสตร์
ส่วนด้านหลังมากับจุดเด่นอย่างชุดท่อไอเสียคู่ ทรงหกเหลี่ยม ประกบด้วยชุดไฟท้ายรูปทรงตัววาย (Y) ส่วนด้านล่างมากับชุด Diffuser หลังทรงโหด จากการเสริมครีบ Fin แนวตั้งสำหรับจัดเรียงกระแสลม สุดท้ายขาดไปไม่ได้ กับประตูปีกนก (Scissor Doors) ที่สร้างคาแรกเตอร์เฉพาะตัว ให้น่าประทับใจมากยิ่งขึ้นไปอีกขั้น
โดยทั้งหมดได้สร้างสุดยอดแห่งระบบอากาศพลศาสตร์ ที่มีประสิทธิภาพขั้นสูงสุด แถมด้วยอีกหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ คือ การใช้สปอยเลอร์หลังแบบ Active รุ่นใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนไปตามโหมดการขับขี่ หรือตามสไตล์ที่ต้องการของผู้ขับขี่
เช่น ตำแหน่งสปอยเลอร์ “ปิด” (Closed) ที่จะเกิดแรงต้านต่ำสุด, ตำแหน่งแรงต้านต่ำ (Low Drag Position) จะช่วยเพิ่มความเร็ว พร้อมกับเสถียรภาพได้มากที่สุด ส่วน สปอยเลอร์ใน ตำแหน่งแรงกดสูง (High Downforce Position) จะช่วยเพิ่มแรงกด ไปพร้อมๆ กับการปรับระดับความคล่องตัว และการควบคุมให้เหมาะสมที่สุด
ซึ่งโดยสรุปแล้ว การพัฒนาเพื่อให้ไหลเวียนอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถช่วยเพิ่มศักยภาพด้านอากาศพลศาสตร์ บริเวณด้านหน้ารถได้ถึง 33% และด้านท้ายรถได้ถึง 74% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae ตลอดจนช่วยให้เกิดการระบายความร้อนได้ดีขึ้นอีกด้วยเช่นกัน
ภายในห้องโดยสาร มากับการตีความทิศทางงานออกแบบแนวใหม่ เพื่อนำเสนอปรัชญา Feel like a Pilot อย่างเด่นชัดในทุกๆ รายละเอียด เช่น การให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร รู้สึกถึงการเป็นหนึ่งเดียวกับดีไซน์รูปตัววาย (Y) ในส่วนของแผงหน้าปัด และคอนโซลกลาง ซึ่งสื่อถึงสัมผัสของการขับรถแข่งที่เปี่ยมด้วยดุลยภาพแห่งการควบคุมทั้งระบบดิจิทัล และสัมผัสทางกายภาพ
เช่น ความโดดเด่นของงานดีไซน์รูปทรงหกเหลี่ยม ตลอดจนวัสดุที่เลือกใช้ ทั้งคาร์บอนไฟเบอร์, วัสดุหนัง, วัสดุสิ่งทอน้ำหนักเบาพิเศษที่เรียกว่า Corsa-Tex ในผ้า Dinamica Microfibre ต่อเนื่องมาถึงการออกแบบพวงมาลัย ที่มีแรงบันดาลใจมาจากรุ่น Essenza SCV12 พร้อมปุ่มมัลติฟังค์ชั่นบนก้านพวงมาลัย สำหรับเลือกโหมดการขับขี่, ระบบยกตัวรถ หรือแม้แต่การปรับระดับสปอยเลอร์หลัง
ขณะที่ความล้ำสมัยต่างๆ นั้นประกอบด้วย หน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอล ก็มีมาให้ถึง 3 ตำแหน่ง ประกอบด้วย ขนาด 12.3 นิ้ว สำหรับคนผู้ขับขี่, ขนาด 9.1 นิ้วฝั่งผู้โดยสาร และขนาด 8.4 นิ้ว บนคอนโซลกลาง ทั้งยังมากับฟังค์ชั่น “การปัดหน้าจอ” ที่ช่วยเลื่อนแอปพลิเคชั่น และข้อมูลต่างๆ
จากจอกลางไปยังจอด้านข้างได้อย่างสะดวก อีกทั้งไม่เพียงสร้างความโปร่งโล่งสบาย ด้วยตำแหน่งการจัดวางในห้องโดยสารเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงสามารถเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้าไปได้อีกมากมาย ขณะที่ยังคงช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมีสมาธิกับการขับได้อย่างเต็มที่อีกด้วย
ไฮไลต์ของ Revuelto คือ สมรรถนะร้ายกาจ จากเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศขนาด 6.5 ลิตร ทำงานร่วมกับ มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว จะถูกติดตั้งในตำแหน่งเพลาขับคู่หน้าแบบไฟฟ้า (e-axle) ขณะที่อีก 1 ตัว จะถูกติดตั้งในตำแหน่งเดียวกันกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด DCT (Double Clutch Transmission) คลัทช์คู่ รุ่นใหม่
ทั้งยังมากับการวางตำแหน่ง “เลย์เอาต์” เครื่องยนต์ในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน แถมยังชุดเกียร์ก็ถูกติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์เป็นครั้งแรก ตลอดจนมีการนำเอาระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ามาใช้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dinamica Veicolo 2.0 อย่างเป็นทางการครั้งแรกอีกด้วย
เคลมกำลังรวมทั้งระบบเอาไว้ที่ 1,015 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 725 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์ และอีก 350 นิวตันเมตร จากมอเตอร์ไฟฟ้าแต่ละตัว ซึ่งจะถ่ายทอดผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบไฟฟ้า ซึ่งในส่วนของเครื่องยนต์สันดาป จะรับผิดชอบล้อคู่หลังเป็นหลัก ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้ารับผิดชอบล้อคู่หน้า
และจะมาพร้อมระบบกระจายแรงบิด (Torque Vectoring) เพื่อยกระดับพลศาสตร์การขับขี่ และการกู้คืนพลังงาน เช่น เมื่อเลือกโหมดการขับขี่แบบไฟฟ้า ระบบขับเคลื่อนจะทำหน้าที่เฉพาะล้อหน้าเท่านั้น เพื่อลดอัตราการใช้พลังงานให้น้อยที่สุด ส่วนล้อคู่หลังจะทำงาน ก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นเท่านั้น
โดยมีความเร้าใจที่จัดสรรมาให้จากโรงงาน ก็คือ อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ที่ทำได้ในเวลาเพียง 2.5 วินาที และจาก 0-200 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7 วินาที สุดท้ายกับความเร็วสูงสุดที่ทำได้ถึง 350 กม./ชม. ทั้งยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่ของระบบไฮบริด 3 รูปแบบ ที่พัฒนาขึ้นใหม่โดยเฉพาะ
คือ Recharge, Hybrid และ Performance เพื่อใช้ร่วมกับโหมดการขับขี่เดิมอย่าง Città (City), Strada, Sport และ Corsa ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดจะสามารถตั้งค่าได้ถึงมากถึง 13 รูปแบบ สำหรับแสดงศักยภาพที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์
ภายใต้ความมั่นใจจา ระบบเบรก และการระบายความร้อนเที่ได้รับการออกแบบใหม่ ผ่านระบบ CCB Plus (Carbon Ceramic Brakes Plus) รุ่นใหม่ล่าสุด ประกอบด้วยคาลิเปอร์เบรกหน้าแบบ 10 Pot จับคู่จานเบรกขนาด 410×38 มม. ส่วนด้านหลังจะมากับคาลิปเปอร์ 4 Pot และจานเบรกขนาด 390×32มม.
รวมไปถึงยางรถยนต์ที่พัฒนาขึ้นใหม่โดยเฉพาะ จาก Bridgestone รุ่น Potenza Sport แบบ Run-flat ซึ่งจะมีให้เลือก 2 ขนาด ตามูปแบบของล้ออัลลอยด์ คือ 265/35 ZRF20 ในด้านหน้า และ345/30 ZRF21 ในด้านหลัง หรือขนาด 265/30 ZRF21 ในด้านหน้า และขนาด 355/25 ZRF22 ในด้านหลัง