Land Rover Defender 110 … การสานต่อเอกลักษณ์อันเป็นตำนานกว่า 70 ปี

The Off Road King อย่างค่าย Land Rover เผยโฉมยนตรกรรมสายลุยระดับตำนานเวอร์ชั่นล่าสุดรุ่น Land Rover Defender 110 ที่มาพร้อมกับปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่เข้าสู่ศตวรรษที่ 21 และเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อยกระดับความมั่นใจในสมรรถนะ และความปลอดภัย ต่อให้ขับตะลุยทุกพื้นที่ทั่วโลกก็ตาม

Land Rover Defender 110

Land Rover Defender 110 …  ปรับสไตล์สู่ฐานะ “ตัวลุย สายหรู”

Land Rover Defender 110 ได้รับการสร้างสรรค์เพื่อนำเสนอยนตรกรรมที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ของนักผจญภัย และเลือกที่ใช้ชีวิติอย่างแตกต่าง จากความสามารถในการปรับเปลี่ยน ปรับตัว ตามความต้องการของผู้เป็นเจ้าของ เพื่ออำนวยความสะดวกสูงสุด ภายใต้ความชัดเจนใน DNA ของ Defender อันเป็นเอกลักษณ์มากว่า 70 ปี

โดยมากับแพลทฟอร์มใหม่ที่ชื่อว่า D7x โดยตัวอักษร x นั้นย่อมาจากคำว่า Extreme โดยมีส่วนประกอบราว 95% สร้างขึ้นจากวัสดุอลูมิเนียมโมโนค็อกน้ำหนักเบา ที่ออกแบบให้มีความทนทานมากกว่ารถอเนกประสงค์ SUV ทั่วๆ ไป เพื่อรองรับการลุย ตั้งแต่มุมปะทะ (Approach Angles) ที่กำหนดไว้ 38 องศา , มุมคร่อม (Breakover Angle) ที่ 28 องศา และมุมจาก (Departure Angles) 40 องศา อันเป็นผลมาจากตัวถังที่เพิ่มความสูงขึ้นอีกราว 20 มม. แถมด้วยการการลุยน้ำลึกได้ถึง 900 มม.

 

ซึ่งเหล่าวิศวกรของ Land Rover ได้ทำการทดสอบแล้วกว่า 62,000 ครั้ง, ระยะทางทดสอบกว่า 1.2 ล้านกิโลเมตร, สภาพภูมิประเทศที่เลวร้ายที่สุดในโลก ไม่ว่าจะอากาศร้อนกว่า 50 องศาในทะเลทราย หรือหนาวเย็นสุดขั้วระดับ -40 องศาที่ Arctic กระทั่งไต่ความสูงชันถึง 10,000 ฟุตบนเทือกเขา Rocky ในรัฐโคโลราโด

Land Rover Defender 110

ส่วนงานดีไซน์ยังคงวางตัวบนแนวทางของตัวลุย เช่น ระยะโอเวอร์แฮ็งค์ทั้งก้านหน้า และด้านหลัง พร้อมด้วยรายละเอียดที่สืบทอดความเป็น Defender เช่น ช่องรับแสงบริเวณขอบหลังคาที่เรียกว่า Alpine Light Windows, บานประตูท้ายที่เปิดออกด้านข้าง ซึ่งมาพร้อมล้ออะไหล่บนบานประตูท้ายหลังรถ แถมด้วยล้ออัลลอยด์ที่มากถึง 12 ลวดลายให้เลือก และมีขนาดตั้งแต่ 18 นิ้ว ถึง 22 นิ้ว ส่วนภายในมากับงานออกแบบ จากส่วนผสมอารมณ์ของสถาปัตยกรรมที่แข็งแกร่ง และการใช้งานได้จริงผ่านแนวคิดที่เปิดเผยให้เห็นองค์ประกอบของวัสดุ เช่น รางเบาะ, พนักวางแขน และในส่วนของคานมือจับเปิดประตูที่ใช้แบบ Powder-Coated Magnesium ซึ่งมั่นคงสำหรับการจับยึดต่อการขับขี่แบบ Off-Road

 

พร้อมด้วยความเอนกประสงค์จากพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่มีขนาดถึง 1,075 ลิตร และขยับไปเป็น 2,380 ลิตร เมื่อทำการปรับพับเบาะนั่งแถว 2 แบบ 40:20:40 และสามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 900 กก. ตลอดจนการติดตั้งผ้ายางรองพื้นที่ทนทาน และทำความสะอาดง่าย เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้สายลุย ทั้งยังมีออพชั่นเสริมเป็นชุดหลังคาผ้าใบ Folding Fabric Roof ติดตั้งในส่วนของเบาะนั่งแถว 2 หากต้องการเพิ่มเติมอรรถรสการลุยแบบซาฟารี

Land Rover Defender 110

ด้านเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัยถูกหยิบยกมาใช้ เกิดจากการพัฒนาร่วมกันโดย Jaguar Land Rover’s เช่น ระบบหน้าจอสัมผัส Pivi Pro Infotainment System เจนเนอเรชั่นล่าสุดขนาด 10 นิ้วที่ใช้งานง่าย และตอบสนองได้รวดเร็วขึ้นจาก Software-Over-The-Air (SOTA) ที่สามารถอัพเดตซอฟต์แวร์ได้จากระยะไกล โดยไม่ต้องแวะเข้าศูนย์บริการ โดยหน้าจอจะติดตั้งอยู่บนคอนโซลหน้าที่ประกบด้วยคานบน-ล่าง ตลอดความกว้างห้องโดยสาร สร้างขึ้นจากวัสดุ Magnesium พร้อมด้านล่างที่เป็นตำแหน่งของชุดระบบปรับอากาศ และคันเกียร์ ซึ่งทั้งหมดนั้นมีการออกแบบให้คำนึงถึงหลักสรีระศาสตร์ สำหรับกรณีเสริมออพชั่น “เบาะนั่งแบบ Jump Seat” ตรงกลางระหว่างคนขับ และผู้โดยสารตอนหน้า ทั้งยังเอื้ออำนวยให้สามารถเคลื่อนที่ข้ามไป-มาได้อย่างอิสระอีกด้วย

Land Rover Defender 110

ขณะที่ด้านคนขับนมากับการติดตั้งหน้าจอ Interactive Driver Display ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว แบบ High-Definition ซึ่งรองรับระบบกล้องแบบ 3D Surround Camera มองภาพได้รอบทิศทางแบบ 360 องศา และมุมมอภายนอกได้แบบ 3 มิติ ทั้งในสถานการณ์ขับขี่แบบ Off และ On Road สามารถแสดงภาพในโหมด Tow Assist และ Wade Sensing ไปจนถึงระบบ Land Rover’s ClearSight Ground View ยกระดับทัศนวิสัยรอบตัวรถให้ชัดเจน เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ แม้จะสูญเสียมุมมองด้านหลัง จากกรณีติดตั้ง Jump Seat ที่กึ่งกลางเบาะนั่งคู่หน้าก็ตาม ทั้งยังให้มุมมองที่มากกว่า 50 องศา โดยที่ไม่ถูกบดบังจากตำแหน่งของเสา Pillar ด้านหลัง และล้ออะไหล่ ตลอดจนให้ภาพที่คมชัดแม้ในสภาพแสงน้อย ด้วยความละเอียด 1.7 ล้านพิเซล พร้อมการเคลือบด้วยสารที่ทำให้ไม่ว่าจะน้ำ หรือโคลนเกิดการเกาะตัว

Land Rover Defender 110

ทั้งยังได้รับการติดตั้งออพชั่นเสริมประสิทธิภาพการขับขี่ Driver Assist Pack นั้นประกอบด้วย ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันตามรถคันหน้า Adaptive Cruise Control, ระบบเตือนการชนในด้านหลัง Rear Pre-Collision Monitor, ระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Assist, ระบบเตือนสิ่งกีดขวางในด้านหลัง Rear Traffic Monitor และระบบตรวจเช็คคนเดินถนน Clear Exit Monitor รวมไปถึงฟังค์ชั่นมาตรฐานต่างๆ อย่างระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน Emergency Braking, ระบบช่วยระกษารถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keep Assist, ระบบตรวจจับ และอ่านความป้ายจราจร Traffic Sign Recognition ที่จะทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเร็ว และฟังค์ชั่นจำกัดความเร็ว Cruise Control and Speed Limiter functions

อัพเกรดสมรรถนะ ตอบโจทย์ On-Road และ Off-Road

ขุมพลังของ Defender 110 มากับ 2 ทางเลือก คือ พื้นฐานเครื่องยนต์ดีเซล และเบนซิน พ่วงระบ Mild Hybrid Electric Vehicle (MHEV) โดยทุกรุ่นจะจับคู่กับชุดเกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีด ติดตั้งระบบ Intelligent Stop/Start Technology และเป็นครั้งแรกที่เลือกใช้ระบบเบรกประสิทธิภาพสูงเจนเนอเรชั่นล่าสุดเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ทั้งยังมีแผนที่จะปล่อยเวอร์ชั่นรักษ์โลกอย่าง Plug-In Hybrid Electric Vehicle (PHEV) ตามออกมาในภายหลังอีกด้วย

Land Rover Defender 110

ส่วนในไลน์อัพของเวอร์ชั่นปกติ เริ่มต้นด้วยขุมพลังดีเซลพ่วงระบบอัดอากาศ Twin Turbo แบบ 4 สูบ ในรุ่นย่อย D200 และ D240 ซึ่งเคลมว่ามีแรงบิดสูงถึง 430 นิวตัวเมตร ขณะที่กำลังสูงสุดของรุ่น D240 จะอยู่ที่ 200 แรงม้า โดยรุ่น D200 สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลา 10.3 วินาที และ D240 ที่ 9.1 วินาที

ขณะที่เวอร์ชั่นเครื่องยนต์เบนซินมากับ 2 ทางเลือก คือ แบบ 4 สูบ Twin-Scroll Turbocharge ในรุ่นย่อย P300 ที่มีพละกำลัง 300 แรงม้า ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 8.1 วินาที และรุ่นท็อปแบบ 6 สูบ Twin-Scroll Turbocharge ในรุ่นย่อย P400 เสริมแรงด้วยระบบ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle) ที่ประกอบด้วยแบตเตอรี่ขนาด 48 โวลต์ ที่สร้างกำลังสูงสุดถึง 400 แรงม้า พร้อมแรงบิด 550 นิวตันเมตร ซึ่งออกตัวจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6.4 วินาที

Land Rover Defender 110

ระบบช่วงล่างมากับ 2 รูปแบบให้เลือก คือ แบบคอยล์สปริง และแบบ Electronic Air Suspension เสริมความแกร่งด้วยการอัพเกรดชุดซับเฟรมทำจากวัสดุเหล็ก, ข้อต่อ (Ball Joints) และบูชยางต่างๆ ให้เหมาะสมกับขับขี่สไตล์ Off-Road พร้อมด้วยผลลัพธ์ความสามารถที่ในแต่ละล้อรองรับน้ำหนักในแนวตั้งได้มากถึงราว 7 ตัน นอกจากนี้ในรุ่นที่เลือกติดตั้งช่วงล่างแบบ Electronic Air Suspension ยังมาพร้อมกับระบบ Adaptive Dynamics ให้ผู้ขับขี่ได้เลือกปรับเปลี่ยนบุคคลิก โดยระบบจะทำการตรวจสอบลักษณะการเคลื่อนไหว และประมวลผลในระดับ 500 ครั้งต่อวินาที

 

และรวมถึงในทุกพื้นที่สภาพการขับขี่ เช่น ในรูปแบบ Off-Road ที่ตัวรถจะถูกยกสูงขึ้นอีก 75 มม. พร้อมกับปรับการทำงานให้เน้นความนุ่มนวล ซึ่งเพิ่มเติมได้อีก 70 มม. เป็น 145 มม. หากต้องการ จากช่วงล่างแบบ Electronic Air Suspension และจะปรับลดลงอัตโนมัติ 50 มม. เมื่อเข้าสู่รูปแบบเข้าขับขี่ปกติ ทั้งยังสามารถขับขี่บนพื้นที่ที่มีความเอียง และความลาดชันได้มากถึง 45 องศา และสามารถลากจูงน้ำหนักได้สูงสุดถึง 3,500 กก.

จากความสามารถของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Permanent All-Wheel Drive และเกียร์ Twin-Speed Automatic Gearbox หรือเกียร์สูง-ต่ำ สำหรับเส้นทาง Off-Road นั่นเอง เสริมด้วยชุดเฟือง Centre Differential ที่สามารถอัพเกรดเพิ่มเติมด้วยออพชั่นชุดเฟืองท้าย Active Locking Rear Differential ได้

แท็กยี่ห้อรถยนต์ : Land Rover

แท็กฮิต : , , , , ,