รีวิว : LEXUS GS250 Luxury
หากคุณกำลังมองหารถหรูระดับ Hi End จากญี่ปุ่น หนึ่งในทางเลือกของคุณคงหนีไม่พ้น LEXUS ที่ค่ายโตโยต้ายกระดับสร้างแบรนด์หรูมาช้านานจนขึ้นไปเทียบชั้นกับรถยุโรป และในฉบับนี้ผมมีทีเด็ดจากค่ายนี้มาให้ยลโฉมกัน เป็นรุ่น LEXUS GS250 Luxury ซึ่งออกมาสะท้อนความเป็นรถหรูได้อย่างเต็มตัว ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ V6 พร้อมเทคโนโลยีชั้นเลิศ แต่ทั้งหมดนี้จะผสมกันออกมาได้ลงตัวหรือไม่ตามผมมาชมกันครับ
เลิศ…ด้วยดีไซน์ล้ำสมัย
พูดถึงรถหรูระดับกลางของ LEXUS ในรุ่น GS ถือว่าเป็นรถที่มีตำนานมาช้านานตั้งแต่ปี 1991 ที่เป็นการปรากฎโฉมเจนเนอเรชั่นแรกพร้อมเครื่องยนต์รหัส 2JZ ทั้งเทอร์โบและไม่เทอร์โบ ที่สำคัญยังมีเครื่องยนต์แรงบิดมหาศาลรหัส 1UZ-FE แบบ V8 มาประจำการในตัวท็อปนี้อีกด้วย ผ่านไปอีก 7 ปี ในต้นปี 1998 เจนเนอเรชั่นที่ 2 ก็คลอดออกมาด้วยรูปลักษณ์ที่หรูหรา สมศักดิ์ศรีขึ้นมาก ถือว่าเป็นรุ่นที่ออกแบบได้ดี แม้แต่ในปัจจุบันกลุ่มที่ชอบนำรถหรูมาแต่งแนว VIP ยังนำมาแต่งกันอย่างแพร่หลาย ในรุ่นนี้มีการเพิ่มระดับแรงขึ้นไปอีกในตัวท็อปรหัส 3UZ-FE แบบ V8 ความจุกระบอกสูบ 4.3 ลิตร มาในปี 2006 เจนเนอเรชั่นที่ 3 รูปลักษณ์ปรับในส่วนด้านหน้าให้โฉบเฉี่ยว แต่ด้านหลังยังมีเค้าโครงเดิมของเจนเนอเรชั่นที่ 2 อยู่มาก ทำให้หน้า-หลังมองแล้วอาจไม่เข้ากันสักเท่าไร ส่วนเครื่องยนต์เป็นตัวใหม่ รหัส 3GR-FE, 3GR-FSE, 2GR-FSE และที่สำคัญในเจนเนอเรชั่นนี้มีเครื่องยนต์ HYBRID เป็นรุ่นแรก
LEXUS รุ่น GS250 Luxury
ก้าวผ่านมาถึงปีนี้ LEXUS พร้อมโชว์ GS ใหม่ในปี 2013 กับเจนเนอเรชั่นที่ 4 ผมเองเห็นรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปมาก จึงอดใจไม่ได้ที่จะขอสัมผัสสมรรถนะ โชคดี..ฝ่ายประชาสัมพันธ์โตโยต้าแสนใจดี โทรมาแจ้งว่ามีรถทดสอบ LEXUS รุ่น GS250 Luxury ว่างอยู่ 5 วัน iAMCAR สนใจหรือเปล่า รถหรูระดับนี้สนอยู่แล้วครับ ไม่รอช้าเดินทางไปรับรถแบบด่วนๆ ระหว่างการเดินทางไปรับรถก็นั่งอ่านข้อมูลเกี่ยวกับตัวรถกันก่อน LEXUS หมายมั่นให้ New GS เป็น “The Grand Touring Sedan of Lexus” สปอร์ตซีดานคันหรูที่ได้รับการพัฒนาให้มีความพิเศษในทุกๆ ด้าน พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย
LEXUS GS ใหม่
ได้ถูกออกแบบสะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ “Progressive Luxury” ภายใต้ปรัชญาการออกแบบ “L-finesse” ใหม่ ซึ่งถือเป็นการก้าวผ่านการออกแบบเดิมๆ ของ LEXUS เน้นไปที่ความเฉียบคมของเส้นสายตัวถังที่ลื่นตามหลักอากาศพลศาสตร์ ที่ต่ำด้วยค่าสัมประสิทธ์แรงเสียดทานเพียง (0.26) แนวหลังคาถูกขยายให้ยาวขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสารให้กว้างขึ้น แนวขอบประตูแบบ Sling shot ช่วยให้การเข้าออกห้องโดยสาร สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นตามแนวของ Luxury Car ความโดดเด่นสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนผ่านกระจังหน้าใหม่ แบบ Spindle Grille ซึ่งนับเป็นเอกลักษณ์แห่งดีไซน์ใหม่ของ LEXUS Sedan พร้อมขนาบด้วยไฟ Daytime Running Lights ทรง L-Shape ภายใต้เส้นสายของตัวถัง แนวหลังคา รวมถึงชายล่างขอบประตู และ กันชน ในความรู้สึกของผมสามารถสะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ๆ ออกมาได้อย่าลงตัว จากที่เคยเป็นรถในสไตล์เรียบหรู กลับสะท้อนความล้ำสมัยผ่านเส้นสาย ช่วยยกระดับความเป็นรถหรูให้มีเอกลักษณ์ที่ดีมากขึ้น และยังให้ความปราดเปรียว รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวทั้งๆ ที่ตัวรถยังหยุดนิ่งอยู่
เลิศ…ในการประสานให้เป็นหนึ่งเดียว
ภายในห้องโดยสารถูกออกแบบภายใต้ปรัชญา HMI (Human Machine Interface) ที่ให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่เหนือสิ่งอื่นใด ด้วยการสร้างสรรค์เทคโนโลยีเพื่อให้ผู้ขับขี่สะดวกสบายสูงสุด กล่าวง่ายๆ คือ “ทำให้คนกับรถ และเทคโนโลยีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ดังนั้นภายในห้องโดยสารต้องกว้างขวาง สะดวกสบายต่อทุกการใช้งานคงจะเป็นหัวใจหลักในการออกแบบ New LEXUS GS จึงเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะสูงขึ้นจากเดิม สำหรับที่นั่งด้านหน้าสูงขึ้น +30มม. และสำหรับที่นั่งด้านหลังสูงขึ้น +20มม. ทำให้การเข้า-ออก ของผู้โดยสารด้านหลังง่ายและสะดวกสบายขึ้น ครั้งแรกที่ผมก้าวเข้าสู่ตัวรถความหรูหราถูกบ่งบอกด้วยการคุมโทนสีดำ สลับโครเมียม พร้อมตัดความพรีเมี่ยมด้วยลายไม้ และไฟเรืองแสง White LED Ambient Light ช่วยเพิ่มความชัดเจนในการใช้งานปุ่มสวิทช์ต่างๆ ที่บริเวณแผงประตู คันเกียร์ และปุ่มปรับโหมดการขับขี่ที่มีทั้ง ECO, NORMAL และ SPORT ซึ่งในการปรับโหมดต่างๆ ระบบจะสั่งงานให้กล่อง ECU คำนวนอัตราการจ่ายน้ำมัน รอบเครื่องยนต์ ให้เหมาะสมกับสมรรถนะที่เราต้องการใช้งาน ส่วนต่อมาเป็นระบบปรับอากาศแบบ S-Flow ที่ควบคุมระดับลมแอร์ให้เหมาะสม กับจำนวนผู้โดยสาร เพื่อลดการใช้พลังงาน พร้อมด้วยระบบปรับสภาพอากาศแบบ nano-e ที่ช่วยปรับความสมดุลของอากาศ ด้วยการปล่อยประจุลบของน้ำ ในระดับนาโนเมตร ซึ่งช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง และยังดักจับอนุภาคของ แบคทีเรีย และไวรัส อันป็นต้นเหตุของ กลิ่นอับชื้นภายในห้องโดยสาร
ระบบการสั่งงานฟังก์ชั่นต่างๆ
นอกจากความสบายของเบาะนั่งที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ระบบการสั่งงานฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น แผนที่ วิทยุ โทรศัพท์ ฯลฯ ที่ใช้งานโดย Joystick ที่คอนโซลเกียร์เป็นตัวควบคุม แสดงผลผ่านหน้าจอบนคอนโซลถือว่าทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องละสายตาจากการขับขี่มากนัก แต่ที่ผมชอบสุดๆ คือ ที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังที่ให้ความสบายสูงสุดเหมาะที่จะรับรองผู้บริหารได้เป็นอย่างดี พร้อมทั้งการเก็บเสียงในห้องโดยสารที่ดีมาก แต่มีเสน่ห์ด้วยตัวกำเนิดเสียงเครื่องยนต์ (Engine / Muffler Sound Generator) ทางรอดผ่านลำโพงให้เสียงทุ้มคำรามหนักแน่น ทั้งในรอบเครื่องต่ำ กับเสียงแผดคำราม ในรอบเครื่องสูง พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์หลังพวงมาลัย Paddle Shift ซึ่งอันนี้แหละครับ สามารถปรับอารมณ์จากรถหรูๆ ขับสบาย ให้ความรู้สึกเป็นรถสปอร์ตในทุกอนูการขับขี่ขึ้นมาทันที ส่วนห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายเพิ่มพื้นที่ใช้สอยมากขึ้นเป็น 530 ลิตร (จากเดิม 430 ลิตร) สามารถใส่ถุงกอล์ฟขนาดมาตรฐานได้ 4 ใบเลยนะครับ
เลิศ…ด้วยพละกำลัง 207 แรงม้า
LEXUS GS250 อาศัยขุมพลังเครื่องยนต์รหัส 4GR-FSE 2.5L V6 DOHC 24 วาล์ว Dual VVT-i ความจุกระบอกสูบ 2,500 ซีซี, กำลังสูงสุด 207 แรงม้าที่ 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 253 นิวตันเมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที มาตรฐานไอเสีย ยูโร 5 เปรียบเทียบจากน้ำหนักรวมตัวรถ 2,170 กิโลกรัมกับแรงม้าเพียง 207 แรงม้าอาจจะดูน้อยไปสักหน่อย แต่ด้วยเทคโนโลยีของระบบส่งกำลัง 6-speed Automatic Transmission Super ECT with M-mode พร้อมอัตราทดเฟืองท้ายที่ดี รวมถึงเทคโนโลยีการสั่งงานจากกล่อง ECU ที่มีความแม่นยำและเหมาะสมทั้งอากาศและน้ำมัน ทำให้อัตราเร่งไหลลื่นไต่ระดับความเร็วขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 8.8 วินาที ความเร็วปลายที่ผมทำได้ คือ 220 กม./ชม. อัตราการใช้น้ำมันความเร็วเฉลี่ย 110 – 120 กม./ชม. อยู่ที่ 10.1 กม./ลิตร แค่นี้ก็เลิศแล้วกับแรงม้าเพียง 200 ตัวที่ต้องแบกน้ำหนักถึง 2 ตันกว่า จากที่สัมผัส ผมมองว่าอัตราเร่งแบบนี้เหมาะสมที่จะนำมาใช้เป็นรถยนต์นั่งของผู้บริหารมากกว่า ด้วยอัตราเร่งที่ไม่กระชากจนเกินไป ทำให้เวลาขับขี่ Smooth สบายในทุกการเดินทาง
เลิศ…ตั้งแต่โครงสร้าง
ระบบช่วงล่าง หน้า – หลังของ New LEXUS GS250 ถูกพัฒนาใหม่ตั้งแต่โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งขึ้น 14% เลือกใช้วัสดุ เช่น อลูมิเนียมอัลลอย เพื่อช่วยลดน้ำหนัก เพิ่มความนุ่มนวล และลดความแข็งกระด้าง พร้อมทั้งออกแบบจุดยึดต่างๆ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพิ่มระยะของมุมแคสเตอร์ของระบบช่วงล่าง รวมถึงการออกแบบให้สปริงและช๊อคอัพ แยกออกจากกัน ทำให้มีขนาดกระทัดรัด เพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายให้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญยังมีเทคโนโลยีอย่าง D-control รวมถึง LDH Lexus Dynamic Handling system ระบบการบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ผ่านชุดพวงมาลัยแปรผันอัตราทด (VGRS) สำหรับควบคุมล้อหน้า และ ชุดบังคับเลี้ยวล้อหลัง DRS (Dynamic Rear Steering) ทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างแม่นยำที่ความเร็วสูง การผ่านทางโค้งต่างๆ ทำได้อย่างคล่องตัว ส่วนในความเร็วต่ำส่งผลให้ เวลาที่เรากลับรถใช้วงเลี้ยวแคบเพียง 5.3 เมตร หรือเปรียบเทียบง่ายๆ คือ แม้รถจะคันใหญ่แบบนี้ เราก็สามารถเลี้ยวได้อย่างคล่องตัวแบบซีดาน 1,500 ทั่วไป แต่เสน่ห์ที่ต้องยกให้ว่าเลิศคงต้องเป็นเรื่องความนิ่มนวลที่เหมาะสมกับรถผู้บริหารอย่างแท้จริง
LEXUS GS250 Luxury ใน ราคา 4,590,000 บาท การดีไซน์ที่พลิกโฉมออกมาให้โดดเด่นล้ำสมัยอย่างลงตัว อรรถรสชั้นเลิศในการเดินทางแบบสุดหรู เทคโนโลยีนานาชนิดที่บรรจงร้อยเรียงลงไปอย่างครบถ้วน คงทำให้เราปฎิเสธไม่ได้ว่านี่คือการยกระดับก้าวไปอีกขั้นของ LEXUS แต่ราคาตัวรถคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ท่านๆ ต้องเก็บไปพิจารณากันเองนะครับ