Mazda 3 Sedan 2019 ก้าวสู่ความสมบูรณ์แบบภายใต้แนวคิด “Less is More”
เผยรายละเอียดล่าสุด Mazda 3 Sedan 2019 ซึ่งยังคงยึดพื้นฐานหลักปรัชญาการออกแบบ Kodo Design ต่เพิ่มความน่าสนใจ ด้วยการอัพเกรดขึ้นอีกระดับ เพื่อก้าวสู่ความสมบูรณ์แบบ และแสดงความชัดเจนในแนวคิด “Less is More”
Mazda 3 Sedan กับรายละเอียดความ “Less is More” ที่มากขึ้น
Mazda 3 ในรูปแบบตัวถัง Sedan นั้นมากับรายละเอียดการอัพเกรดใหม่ ซึ่งไม่น้อยหน้าเวอร์ชั่นสปอร์ตอย่าง ตัวถัง Hatchback โดยทั้งหมดอยู่ภายใต้หลักปรัชญา Kodo Design พร้อมกับเพื่อแสดงความชัดเจนในแนวคิด “Less is More” มากขึ้น บนมิติตัวถังที่มีขนาดความยาว 4,662 มม., ความกว้าง 1,797 มม., ความสูง 1,445 มม. และระยะฐานล้อความยาวเท่ากับเวอร์ชั่น Hatchback ที่ 2,725 มม.
ด้านรูปลักษณ์ภายนอกเริ่มจากมุมมองด้านหน้า มากับชุดโคมไฟดีไซน์ใหม่ที่ “เหลา” ให้เพรียวบาง ตามด้วยการตกแต่งความโดดเด่นให้ทั่วเรือนร่างด้วยวัสดุโลหะ และพลาสติกสไตล์ Glossy ที่ช่วยเน้นความเงางาม โดยมีห้องโดยสารห้องโดยสารที่มาอารมณ์ต่างจากเวอร์ชั่น Hatchback ด้วยโทนสีทีเลือกใช้
ในขณะที่งานดีไซน์ซึ่งเน้นอารมณ์แห่งความสปอร์ต เช่นชุดคอนโซลหน้าแบบ “Two-Layer Molding” ที่ผสมผสานกับการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง บนพื้นฐานของ “การเข้าถึง” ระหว่าง “รถและคน” โดยผู้ขับขี่เป็นจุดศูนย์กลาง รวมถึการนำเสนอความ “Less is More” มากขึ้น ด้วยปุ่มควบคุมต่างๆ ที่น้อยลง แต่ยังครบครัน
เช่น ฟังค์ชั่น Human-Machine-Interface ที่แสดงผลผ่านหน้าขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมโปรแกรม Active Driving Display ที่ปรับเปลี่ยนดีไซน์การแสดงข้อมูลใหม่, พวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น ตลอดจนระบบเชื่อมต่อ Mazda Connect และชุดเครื่องเสียงที่สามารถอัพเกรดเป็นแบรนด์ Bose ได้
“สมรรถนะ” มาพร้อม “เซอร์ไพรส์” ที่ “สาวกชาวไทย” รอคอย
สมรรถนะ และอารมณ์การขับขี่ ยังคงยึดมั่นในพื้นฐาน Jinba-ittai เช่นเดียวกับเวอร์ชั่น Hatchback โดยมีจุดเด่นเทคโนโลยี Skyactiv เป็นพระเอก โดยมีการอัพเกรดเพิ่มเติมในส่วนของ โครงสร้างตัวถังใหม่ SKYACTIV-Vehicle Architecture
ขับเคลื่อนด้วย 2 บล็อกเครื่องยนต์หลัก คือ Skyactiv-G เครื่องยนต์เบนซินพิกัด 2.0 ลิตร และ 2.5 ลิตร ตามด้วย Skyactiv-D เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ พิกัด 1.8 ลิตร และ “ของใหม่” ล่าสุดอย่างขุมพลัง Skyactiv-X ที่เผยรายละเอียดเบื้องต้นเพียงแค่ “มาพร้อมระบบ M-Hybrid (Mild Hybrid System)”
รวมไปถึงอีกหนึ่ง “ของใหม่” กับ ระบบขับเคลื่อนที่ชื่อ “i-Activ AWD” แบบ 4 ล้อ ทำงานร่วมกับระบบ G-Vectoring Control Plus (GVC Plus) ในควบคุมแรงบิดระหว่างล้อคู่หน้า และคู่หลัง ซึ่งเค้าการันตีว่าสามารถลดอัตราการสูญเสียพลังจากการขับเคลื่อนลงไปได้ถึง 60% เลยทีเดียว ทั้งยังสร้างสมรรถนะ และเสถียรภาพที่ดีกว่าบนความเร็วสูง และสภาพถนนที่เปียกลื่น เช่นกัน
ปิดท้ายด้วยระบบความปลอดภัยระดับ “พระเอก” ของค่ายอย่าง i-Activsense ก็มีการอัพเกรดความสามารถขึ้นใหม่ ซึ่งเด่นๆ เลยก็ระบบ Driver Monitoring System สำหรับตรวจเช็คสภาพของผู้ขับขี่ โดยใช้กล้องอินฟราเรด และ ไฟ LED อินฟราเรด ในการตรวจจับลักษณะการเปิด/ปิด, ความถี่ในการกระพริบตา, ความเอียงของศรีษะ ซึ่งหากพบอาการอ่อนล้า ระบบจะทำการส่งเสียงเตือน และสั่งให้ระบบ Smart Brake Support (SBS) ทำการชะลอความเร็วรถลง
ตามด้วยระบบ Front Cross Traffic Alert (FCTA) ที่จะใช้เรดาร์ด้านหน้ารถในการตรวจสอบรถที่วิ่งมาจากมุมอับ และระบบ Cruising & Traffic Support (CTS) สำหรับช่วยควบคุมการเร่ง, เบรก และพวงมาลัย ในสภาพการจราจรติดขัด ด้วยความสามารถในการหยุดนิ่ง และออกตัวตามรถคันหน้าได้ ถ้าไม่นานเกินเวลาที่กำหนด