“รื้อ” ให้ดู Mercedes-Benz AMG Project ONE Concept สปอร์ตคาร์เทียบชั้น Formula One มีดีตรงไหน…!!!

Mercedes-Benz AMG สร้างเสียงฮือฮาครั้งใหญ่จากยนตรกรรม ที่เพิ่งเปิดตัวระดับ World Premiere ในงาน Frankfurt Motor Show 2017 (IAA) ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา ด้วยฐานะของขวัญชิ้นสำคัญเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี AMG ซึ่งภายใต้รูปลักษณ์สุดล้ำสมัยสไตล์ Super Sport ของ Mercedes-Benz AMG Project ONE Concept นั้นมีความลับที่ซ่อนอยู่ … และนั่นก็คือ “วิสัยทัศน์ที่เหนือชั้น ซึ่งจะกำหนดทิศทางยนตรกรรม Hybrid ในอนาคต” ด้วยการพยายามบรรจบ “ความประหยัด และ ความแรง” เข้าไว้ด้วยกัน … และนี่คือ 5 จุดเด่น “โคตร Cool” ของ Mercedes-Benz AMG Project ONE

Mercedes-Benz AMG Project ONE เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี โปรเจค วัน คอนเซ็ปต์

1. Mercedes-Benz AMG Project น้ำหนักเบาสุด และอากาศพลศาสตร์สูงสุด

Super Sport 2 ที่นั่งรุ่นนี้มีน้ำหนักตัวเพียง 1.3 ตันเท่านั้น ด้วยโครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบาแบบที่เรียกว่า High-Strength Carbon-Fibre Monocoque ซึ่งเป็นวัสดุเหล็กกล้า และคาร์บอนไฟเบอร์ ที่นอกจากลดน้ำหนักแล้วยังเพิ่มความสามารถทางอากาศพลศาสตร์ด้วยรายละเอียดของชุด Aerodynamic แบบ Active เพื่อควบคุมกระแสลมให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกๆ สถานภาพการขับขี่ แม้กระทั้งล้อ Centre Lock แบบฟอร์จอัลลอยด์ขนาด 10.0 J x 19 ในด้านหน้า และ 12.0 J x 20 ในด้านหลัง ที่ออกแบบมาเพื่อลดอากาศหมุนวนในบริเวณล้อ

Mercedes-Benz AMG Project ONE เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี โปรเจค วัน คอนเซ็ปต์

2. เครื่องยนต์แรงสุด ที่พัฒนามาจากตัวแข่ง

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี โปรเจค วัน คอนเซ็ปต์ ยนตรกรรม Super Sport Car บ้าพลังรุ่นนี้ มีขุมพลังมาจาก 2 ส่วนหลัก โดยส่วนแรก คือ เครื่องยนต์เบนซินจากรถแข่ง Mercedes-AMG F1 W07 พิกัด 1.6 ลิตร แบบ V6 Direct Injection และอัดอากาศด้วย Electrically Assisted Single Turbocharged ซึ่งได้รับการอัพเกรดใหม่ โดยปั่นรอบได้สูงสุดถึง 11,000 รอบต่อนาที และสร้างพละกำลังสูงสุดได้ถึง 748 แรงม้า ซึ่งจะส่งถ่ายกำลังไปที่ล้อคู่หลัง

 

3. มอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว ประจำตำแหน่งพร้อมรบ

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี โปรเจค วัน คอนเซ็ปต์ มีเครื่องยนต์ระดับ 748 แรงม้า เป็นทัพหลัก ส่วนทัพเสริม คือ มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีทั้งหมด 4 ตัวด้วยกัน  คือ ในตำแหน่งล้อคู่หน้าจะมีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว รับผิดชอบในการขับเคลื่อน หรือ หมุนล้อคู่หน้า โดยแต่ละตัวจะมีพละกำลังราว 120 กิโลวัตต์ หรือ 161 แรงม้า เท่ากับเบ็ดเสร็จแล้วมีกำลังเสริมมาอีก 322 แรงม้าเลยทีเดียว ทั้งยังพัฒนาขึ้นใหม่จนได้แรงหมุนที่มากกว่า 50,000 รอบต่อนาทีอีกด้วย

มอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่ 3 จะรับผิดชอบโดยตรงในการปั่น Turbocharger ด้วยกำลัง 90 กิโลวัตต์ หรือ 120 แรงม้า เพื่อลดอาการรอรอบ หรือ Turbo Lag ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่ 4 ประจำการอยู่บนเพลาขับในตำแหน่งตรงกลางระหว่างเครื่องยนต์ และเกียร์ เพื่อทำหน้าที่เสริมแรงบิดด้วยพละกำลังอีกราว 120 กิโลวัตต์ หรือ 161 แรงม้า และเมื่อรวมกันแล้วทำให้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี โปรเจค วัน คอนเซ็ปต์

Mercedes-Benz AMG Project ONE เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี โปรเจค วัน คอนเซ็ปต์

4. แบตเตอรี่สุดเจ๋ง พร้อม 2 ระบบตัวช่วยมาตรฐาน

Electronic Motor หรือ มอเตอร์ไฟฟ้าของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี โปรเจค วัน คอนเซ็ปต์ รับพลังงานจากแบตเตอรี่ lithium-ion ที่ผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีแบบเดียวกับรถแข่ง Formula 1 แต่มีการอัพเกรดให้มีความทนทานมากกว่า และจัดวางอยู่ในตำแหน่งที่ทำให้เกิดความสมดุลย์หน้า-หลังมากที่สุด

โดยจะมาพร้อมกับ 2 ระบบสำคัญ คือ ระบบ MGU-K หรือ Motor Generator Unit-Kinetic สำหรับทำหน้าที่แปลงพลังงานที่สูญเปล่าจากการยกคันเร่ง หรือเบรกมาเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า และระบบ MGU-H หรือ Motor Generator Unit-Heat ในการแปลงพลังงานความร้อนจากไอเสียไปเป็นพลังงานไฟฟ้า และทั้งหมดคือเพื่อชาร์จกลับไปยังตัวแบตเตอรี่

5. ขับเคลื่อนสุดมันส์แบบ F1 ในแบบเวอร์ชั่นสำหรับใช้งาน

เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอเอ็มจี โปรเจค วัน คอนเซ็ปต์ ส่งกำลังด้วยเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 8 สปีด Automated 8-Speed Manual Transmission และขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ ซึ่งตามนิสัยรถ Hybrid เมื่อกดคันเร่งเต็ม เครื่องยนต์จะทำหน้าที่รับผิดชอบล้อคู่หลัง และมอเตอร์ไฟฟ้ารับผิดชอบล้อคู่หน้า

ในขณะเดียวกันหากขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า หรือ EV Mode จึงจะมีเพียงคู่หน้าเท่านั้นที่ทำการขับเคลื่อนตัวรถ ปิดท้ายด้วยระบบช่วงล่างที่เรียกว่ารื้อทิ้งทั้งระบบเดิมๆ โดยเพิ่มเติมใหม่เป็นสไตล์ Pushrod หรือโช็คอัพแนวนอน ที่เหมาะสำหรับสนาม ติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

และทั้งหมด คือ สิ่งที่ทำให้ Mercedes-Benz AMG Project ONE Concept พกพาสมรรถนะในการทำความเร็วสุดน่ากลัว ด้วยตัวเลข 0-100 กม./ชม. ในราว 2 วินาที ต่อเนื่องที่ 0-200 กม./ชม. ได้ต่ำกว่า 6 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ราว 350 กม./ชม.