Mercedes-Benz เดินหน้าต่อสัญญา 10 ปี ขยายฐานการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในไทย พร้อมส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ให้ สวทช. นำไปวิจัยด้านพลังงาน

บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด สร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคชาวไทย และสานต่อแผนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ประกาศลงนามต่อสัญญาว่าจ้างกับ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด เป็นระยะเวลา 10 ปี ในฐานะพันธมิตรระยะยาว ที่มีบทบาทในการประกอบรถยนต์ และผลิตแบตเตอรี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า รวมถึงขานรับนโยบายระดับโลกในการผลักดันแนวคิด Circular Economy

ประเดิมด้วยการส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ ลิเทียมไอออน (Cellblocks) ขนาด 2 MWh ซึ่งรวบรวมมาจากแบตเตอรี่แรงดันสูง ที่ใช้ทดสอบในกระบวนการผลิตให้กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาวิจัย และสร้างแหล่งพลังงาน ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้เซลล์แบตเตอรี่ดังกล่าว ยังถือเป็นทรัพยากรสำคัญที่จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรชาวไทยในด้านพลังงาน ซึ่งจะส่งผลดีให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต

Mercedes-Benz

มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ย้อนกลับไปเมื่อ 120 ปีที่แล้ว เมอร์เซเดส-เบนซ์ เป็นรถยนต์แบรนด์แรกที่เข้ามาในประเทศไทย และเช่นเดียวกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ในวันนี้เราก็ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยการเป็นแบรนด์รถยนต์ลักชัวรี่แบรนด์แรก ที่เริ่มผลิตแบตเตอรี่ และประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในรุ่น EQS 500 4MATIC AMG Premium ซึ่งประสบความสำเร็จ ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจของเรา

และสำหรับก้าวต่อไปในการขยายกำลังการผลิตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงได้ดำเนินการต่อสัญญาว่าจ้างบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด ให้เป็นผู้ประกอบรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทยต่อไปเป็นระยะเวลาอีก 10 ปี โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านการผลิต และการประกอบรถยนต์ที่มีมาตรฐานระดับโลกอย่างต่อเนื่อง”

Mercedes-Benz

ความร่วมมือของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย และ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2522 ซึ่งร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ของรถยนต์ลักชัวรี่ ที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ผ่านการผสานความโดดเด่นด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงกรรมวิธีการผลิตที่มีมาตรฐานระดับโลกจาก เมอร์เซเดส-เบนซ์ และความเชี่ยวชาญของโรงงานผลิตในประเทศ ที่มีดีเอ็นเอตรงกับแบรนด์อย่างแท้จริง ทำให้ในปัจจุบันมีรถยนต์กว่า 13 รุ่น ที่ถูกผลิตขึ้นในโรงงานแห่งนี้ ได้แก่ A-Class, C-Class, E-Class, S-Class, GLA, GLC, GLE, GLS, C-Coupe, GLC-Coupe, CLS, Maybach S-Class และ EQS โดยมีการเฉลิมฉลองการประกอบรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ คันที่ 200,000 ไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

นาย รัฐพล วิริยะพันธุ์ ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด และ บริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับความไว้วางใจจากทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) และ เมอร์เซเดส-เบนซ์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) ในการเป็นผู้ดำเนินการประกอบรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการต่อไปเป็นระยะเวลาอีก 10 ปี

Mercedes-Benz

โดยนอกจากการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตในทุกๆ ด้าน ตลอดจนการนำเอาเทคโนโลยี และนวัตกรรมจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ มาปรับใช้ในการผลิตรถยนต์ในประเทศ เพื่อขยายไลน์การประกอบรถยนต์ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ทางธนบุรีฯ ยังรองรับการผลิตแบตเตอรี่ และการประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ผ่านโรงงานของบริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (TESM) ที่มีการริเริ่มผลิตแบตเตอรี่ และประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกอย่าง EQS 500 4MATIC AMG Premium ทั้งนี้เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพโรงงานและศักยภาพของบุคลากรให้ลูกค้าทุกคนมั่นใจในทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และสร้างตำนานบทใหม่ให้กับรถยนต์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทยต่อไป”

จากวิสัยทัศน์ และนโยบายของแบรนด์ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในระดับโลก ที่ขับเคลื่อนแผนงานด้านความยั่งยืนอย่างจริงจังในทุกมิติ หนึ่งในนั้นคือการผลักดันระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ภายใต้แนวคิด “Design for Circularity” ที่เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตในการเพิ่มสัดส่วนของการใช้วัสดุทดแทน ที่มาจากกระบวนการรีไซเคิลชิ้นส่วนรถยนต์ ในขณะเดียวกัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย ก็ได้เล็งเห็นประโยชน์ในการนำแบตเตอรี่แรงดันสูงที่ใช้สำหรับการทดสอบแบตเตอรี่ในกระบวนการผลิตมาพัฒนาเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้เชื่อมต่อกับสายส่งไฟฟ้า

Mercedes-Benz

โดยริเริ่มด้วยการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MoU) กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) พร้อมส่งมอบเซลล์แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Cellblocks) ขนาด 2 เมกะวัตต์ ให้กับสวทช. ภายในเดือนกรกฎาคม 2567 เพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนา และร่วมมือถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่สังคมไทย ทั้งยังยกระดับความสามารถของบุคลากรไทย และสนับสนุนการทดสอบแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศให้มีมาตรฐานระดับโลก

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า “ความร่วมมือในครั้งนี้ กระทรวง อว. โดย สวทช. มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดโครงการวิจัยพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน หรือ ESS (Energy Storage System) จากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า โดยได้ร่วมกับ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อสร้างศูนย์ออกแบบ และการทดสอบแหล่งเก็บกักพลังงานจากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าขึ้นในประเทศไทย เป็นแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน

โดย สวทช. มีความมุ่งมั่น และเป้าหมายในการวิจัยพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้พลังงานอย่างยั่งยืน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทย สู่การเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีสีเขียว (Green Technology) อีกทั้งความร่วมมือในครั้งนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของการร่วมมือ ระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชนยานยนต์ระดับโลก ที่สามารถส่งเสริมระบบนิเวศ ที่เอื้อต่อการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของยานยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ โดยโมดูลแบตเตอรี่ที่ทาง เมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ส่งมอบให้ สวทช. นับเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อนักวิจัยของเรา และเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายด้านการวิจัยพัฒนาพลังงานสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความยั่งยืนต่อสังคมไทย ได้อย่างแน่นอน”

“นอกเหนือจากการส่งมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี่ในทุกมิติ ภายใต้โมเดลธุรกิจใหม่ “Retail of the Future” ให้กับลูกค้าทุกคน เมอร์เซเดส-เบนซ์ ยังให้ความสำคัญต่อการยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรชาวไทย ทั้งผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจของเรา รวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชนต่างๆ เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยก้าวสู่ระดับสากล” มร. มาร์ทิน กล่าวทิ้งท้าย