Mercedes-Benz … The New S-Class อัพเกรดยกตระกูล นำเสนอความพรีเมี่ยมเต็มระบบ
Mercedes-Benz เผยรายละเอียดเบื้องต้นของ The New S-Class ยนตรกรรรมหรู เจนเนอเรชั่นล่าสุด ที่มาพร้อมการนำเสนอประสบการณ์ความพรีเมี่ยม ในระดับที่สามารถรับรู้ได้ในทุกรายละเอียด ทั้งการมองเห็น, การสัมผัส, การได้ยิน ไปจนถึงการรับรู้กลิ่น ตลอดจนความโดดเด่นด้านนวัตกรรมล้ำสมัย เพื่อก้าวสู่ยุคแห่งโลกดิจิตอล ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้อย่างครบครัน
ความล้ำหน้าด้านนวัตกรรม ประกอบด้วยระบบ MBUX (Mercedes- Benz User Experience) เจนเนอเรชั่นที่ 2 ซึ่งพัฒนาให้ทั้งซอฟแวร์ และฮารด์แวร์ มีความก้าวหน้าไปอีกระดับ และยังคงสั่งการใช้งานได้อย่างง่ายดายจากระบบสั่งการด้วยเสียง ที่เพียงแค่พูดว่า “Hey Mercedes” มาพร้อมการแสดงผลบนหน้าจอ Media Display ขนาด 12.8 นิ้ว ที่ใช้เทคโนโลยีแบบ OLED เช่นเดียวกับจอแสดงผลสำหรับผู้ขับขี่ Driver Display เป็นแบบ 3 มิติขนาด 12.3 นิ้ว ที่นำมาใช้เป็นครั้งแรก โดยทั้งหน้าจอ Driver Display และ Media Display ยังสามารถปรับสไตล์การนำเสนอได้ถึง 4 รูปแบบ Discreet, Sporty, Exclusive และ Classic ตลอดจนรองรับการแสดงผลได้อีก 3 โหมด คือ Navigation, Assistance และ Service
นอกจากนี้ระบบ HUD (Head Up Display) ใหม่ ยังมากับความล้ำสมัยด้วยเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ที่สามารถแสดงข้อมูลสำหรับการขับขี่อย่างชัดเจน รวมถึงความเสมือนจริงของระบบนำทาง Navigator ที่แสดงผลในรูปแบบลูกศรก้างปลา “Fishbones”
ทางด้านการตกแต่งภายในห้องโดยสารมากับการดีไซน์ในระดับที่ตอบโจทย์ได้ทั้งความสะดวกสบาย ไปพร้อมๆ กับสร้างความผ่อนคลายทั้งในส่วนของพื้นที่ห้องโดยสารด้านหน้า และด้านหลัง ตลอดจนนำเสนอการผสมผสานของความเป็นยุคดิจิตอล และยุคอนาล็อค ซึ่งทั้งหมดนั้นมีแรงบันดาลใจมาจากการออกแบบ “เรือยอร์ช” ขณะที่ชุดแดชบอร์ด, คอนโซลกลาง และพนักวางแขน ได้รับการออกแบบให้เหมือนงานแกะสลักแบบลอยตัว ตลอดจนการใช้เส้นสายแนวนอนบนคอนโซล รวมไปถึงช่องระบายอากาศแนวนอน รับกับช่องระบายอากาศทรงแนวตั้งบริเวณมุมทั้ง 2 ฝั่ง ที่ดูแล้วช่วยให้เกิดความรู้สึกกว้างขวาง รวมถึงสร้างอารมณ์เรียบง่ายหรูหรา ด้วยการลดจำนวนปุ่มควบคุมบนชุดคอนโซลลงอีกด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้เบาะนั่ง ยังสร้างความรู้สึกชวนสัมผัสให้ลงนั่ง และผ่อนคลาย ด้วยการออกแบบสไตล์ 3 มิติ ลวดลาย Diamond Pattern ตัดเย็บและหุ้มด้วยวัสดุหนัง Nappa และหนัง Nappa Exclusive ที่แสดงออกถึงความคลาสสิคได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แถมด้วยการติดตั้งมอเตอร์สำหรับควบคุมเบาะนั่งคู่หน้าเอาไว้ทั้งหมดถึง 19 ตัว ตลอดจนการพัฒนาโปรแกรม Energizing Comfort ขึ้นใหม่ เพื่อสร้างความสบายสูงสุดให้ภายในห้องโดยสาร
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกยังคงความเป็น S-Class ที่หรูหราสง่างาม ด้วยการกำหนดมิติตัวถังให้มีระยะโอเวอร์แฮ็งค์ด้านหน้าที่สั้น พร้อมฐานล้อยาว และแทรคฐานล้อกว้าง รับกับการออกแบบโอเวอร์แฮ็งค์ด้านหลังที่เหมาะสม รับกับตำแหน่งของการวางล้อทั้ง 4 มุม เพื่อให้มีความเป็นรถคลาสสิคซีดานที่มีสัดส่วนสมบูรณ์แบบ ผสานด้วยงานดีไซน์จากเส้นสายที่แสดงออกถึงมัดกล้ามความแข็งแกร่ง ภายใต้หลักอากาศพลศาสตร์ที่ทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียทานต่ำเพียง 0.22 Cd
โดยมีมุมมองด้านหน้าที่ยังคงสะดุดตากับชุดกระจังหน้า ประกบด้วยชุดไฟหน้าแบบ LED แบบ Digital Light ที่มาพร้อมระบบไฟ Daytime Driving Light 3 ตำแหน่งในชุดไฟหน้า ขณะที่ด้านข้างมากับมือจับเปิดประตูที่พัฒนาขึ้นใหม่เป็นแบบไฟฟ้า ซึ่งมาพร้อมุชุดกุญแจแบบ Keyless-Go และล้ออัลลอยด์ที่มีตั้งแต่ขนาด 18 นิ้ว ถึง 21 นิ้วในแต่ละรุ่นย่อย ตามด้วยมุมมองด้านหลังที่มากับสไตล์ความไดนามิกรายละเอียดสูง และฟังค์ชั่นการเคลื่อนไหวของชุดไฟท้าย
ขุมพลังยังคงมีทั้งแบบเบนซิน และดีเซล บนพื้นฐานเครื่องยนต์แบบ 6 สูบ พิกัด 3 ลิตร ที่เริ่มจากรุ่นย่อย S350d พละกำลังสูงสุด 286 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic ซึ่งเคลมอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เอาไว้ที่ 6.4 วินาที พร้อมท็อปสปีดสูงสุดที่ 250 กม./ชม. แต่ถ้าหากยังไม่เร้าใจมากพอ ก็สามารถขยับไปที่รุ่น S350d 4Matic ที่มีรายละเอียดด้านเทคนิคเหมือนกัน ยกเว้นส่วนต่างเรื่องระบบขับเคลื่อนที่เป็นแบบ 4 ล้อ (4Matic) ที่ช่วยเพิ่มความดุดันด้านอัตราเร่งที่รวดเร็วขึ้นเป็น 6.2 วินาที
ก่อนจะปิดท้ายด้วยรุ่นท็อปสุดของเครื่องยนต์ดีเซลในรหัส S400d 4Matic จากพื้นฐานแบบ 6 สูบ 3 ลิตรเช่นกัน แต่มีเรี่ยวแรงที่ไต่ขึ้นไปเป็น 330 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 700 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4Matic) สร้างความเร้าใจที่ดุเดือดกว่าด้วยตัวเลข 0-100 กม./ชม. เพียง 5.4 วินาที ขณะที่ความเร็วสูงสุดยังคงตรึงไว้ที่ 250 กม./ชม. ฝั่งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินมากับ 2 รุ่นย่อย คือ S450 4Matic แบบ 6 สูบ 3 ลิตร เช่นกัน แต่เรี่ยวแรงถูกขยับไปที่ 367 แรงม้า พร้อมแรงบิด 500 นิวตันเมตร พ่วงด้วยทัพเสริมเป็นระบบ EQ Boost จำนวน 22 แรงม้า และแรงบิดที่ 250 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4Matic) ที่ทะยานจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 5.1 วินาที กับความเร็วสูงสุดที่ยังคงเป็น 250 กม./ชม.ขณะที่รุ่นท็อปสุดของเครื่องยนต์เบนซินนั้จมากับรุ่นย่อย S500 4Matic จากพื้นฐานขุมพลังพิกัดเดียวกัน แต่พละกำลังสูงกว่าเป็น 435 แรงม้า พร้อมแรงบิด 520 นิวตันเมตร พ่วงด้วยกำลังเสริมอย่างระบบ EQ Boost กับเรี่ยวแรง 22 แรงม้า และแรงบิดที่ 250 นิวตันเมตร ตลอดจนส่งกำลังด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G-Tronic สู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4Matic) เช่นกัน ส่วนความดุดันของอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. นั้นถูกตอกเอาไว้ที่ 4.9 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ยังเป็น 250 กม./ชม. เช่นเดิมนอกจากนี้ในทุกรุ่นยังมาพร้อมกับระบบปรับเปลี่ยนโหมดการขับขี่ Dynamic Select และระบบพวงมาลัยที่มากับฟังค์ชั่น Steer Control เสริมด้วยระบบ Drive Pilot ซึ่งควบคุมการขับขี่อัตโนมัติ ภายใต้เงื่อนไขความเร็วที่ไม่เกิน 60 กม./ชม. ขณะที่ระบบช่วงล่างของทุกรุ่นมากับความล้ำสมัย ด้วยฟังค์ชั่น ระบบ E-Active Body Control ซึ่งสามารถปรับยกระดับความสูงตัวถังขึ้นได้ถึงราวๆ 3 นิ้วในเวลาราวๆ 10 วินาที โดยหากต้องการความคล่องตัวในการใช้งานมากขึ้น ก็สามารถจัดออพชั่นเพิ่มเติมได้ด้วยระบบเลี้ยวล้อหลัง Rear-Axle Steering ที่จะช่วยเพิ่มมุมเลี้ยวให้กับล้อหลังประมาณ 10 องศา