NEW MG EP เซอร์ไพรส์ใหม่จาก เอ็มจี (ประเทศไทย) กับ Station Wagon พลังไฟฟ้า 100%
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ตอกย้ำการเป็น EV for Everyone ผ่านการเปิดตัวยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นล่าสุด NEW MG EP ภายใต้แนวคิด “EVeryone ตอบโจทย์ทุกฟังค์ชั่น รถยนต์พลังงานไฟฟ้าของทุกคน”
โดย NEW MG EP นำเสนอการสร้างบรรทัดฐานใหม่ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย ด้วยความโดดเด่นจาก 4 องค์ประกอบหลัก คือ มิติตัวถัง และพื้นที่การใช้งาน (Dimension), ความสะดวกสบาย และระบบความปลอดภัย (Convenience & Safety), สมรรถนะที่เปี่ยมประสิทธิภาพ (Performance) และต้นทุนในการเป็นเจ้าของที่ต่ำ (Low Cost of Ownership)
MG EP ยังคงมากับการออกแบบภายใต้แนวคิด Brit Dynamic ด้วยดีไซน์ทันสมัย เช่น กระจังหน้าแบบ SuspendedWing Grille ตกแต่งด้วยโครเมียม และโทนสีดำเงา Piano Black ประกบด้วยชุดไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ที่มากับชุดไฟส่องสว่างในเวลากลางวัน Daytime Running Light แบบ LED พร้อมระบบควบคุมการเปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ขณะที่ด้านหลังสะดุดตาด้วยชุดไฟท้าย LED แบบ Electric Pulse Design และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LEDก่อนปิดท้ายด้วยล้ออัลลอยด์ดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
ส่วนภายในได้รับการตกแต่ง ด้วยวัสดุผิวสัมผัสนุ่มแบบ Soft Touch และโดดเด่นด้วยดีไซน์เส้นสายแบบ Carboxnyxe เพื่อแสดงให้เห็นถึงความประณีตในทุกรายละเอียด ตลอดจนเบาะคู่หน้าออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Anti-Curved Surface Design) เสริมด้วยฟังค์ชั่นอำนวยความสะดวกที่ครบครัน
อาทิ หน้าจอ Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อกับ Apple CarPlay และหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอล (Digital Multi-Function Display) ขนาด 7 นิ้ว, ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล, กระจกมองหลังตัดแสง, กระจกไฟฟ้าแบบ One Touch Up-Down ด้านคนขับ ที่ใช้งานได้อย่างสะดวก ทั้งยังรวมไปถึงความสามารถของรถอเนกประสงค์ ที่ตอบโจทย์ชัดเจนในเรื่องอรรถประโยชน์ใช้สอย จากพื้นที่ห้องโดยสาร และพื้นที่เก็บสัมภาระอันกว้างขวางเ และสามารถปรับพับได้แบบ 60:40 ทำให้มีพื้นที่ความจุสูงสุดถึง 1,456 ลิตร
เทคโนโลยีระบบความปลอดภัยยังคงจัดมาให้แบบครบครันตามมาตรฐาน ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-Lock Braking System), ระบบกระจายแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBD (Electronic Brake Force Distribution), ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist), ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake), ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold), ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System), ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System), ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System), ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal), ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System) นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control), ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light), จุดยึดเบาะ ISOFIX พร้อมด้วยเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ทำงานร่วมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้า ไปจนถึงกล้องมองหลังพร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอีกด้วย
สมรรถนะของ MG EP เกิดขึ้นจากพลังงานไฟฟ้า 100% จากมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motorให้พละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า พร้อมแรงบิด 260 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ไฟฟ้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 8.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 185 กม./ชม. พร้อมด้วยโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ คือโหมด Normal โหมด Eco และ โหมด Sport ขณะที่ระบบช่วงล่างนั้นยังคงมอบความนุ่มนวล ด้วยสไตล์แบบ Euro Tuning Suspension บนพื้นฐานด้านหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม ที่ให้ความมั่นใจได้ดีในทุกสภาพถนน
โดยแบตเตอรี่ของ MG EP นั้นจะเป็นแบบ Lithium-Ion ที่มีความจุรวมถึง 50.3 kWh ทำให้สามารถขับเคลื่อนได้ไกลถึง 380 กม. ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง (ทดสอบตามมาตรฐานความประหยัดพลังงาน New European Driving Cycle – NEDC) นอกจากนี้ตัวแบตเตอรี่เองยังได้รับการทดสอบตามมาตรฐานการป้องกันน้ำ และฝุ่นระดับ IP67 พร้อมด้วยระบบระบายความร้อนแบบ Liquid Cooling System ที่จะช่วยให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สภาวะต่างๆ
ส่วนการชาร์จไฟนั้นสามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ Quick Charge แบบ DC ผ่านหัวชาร์จประเภท CCS Combo 2 ซึ่งชาร์จพลังงานได้ตั้งแต่ 0 – 80% ในระยะเวลาประมาณ 40 นาที และ Normal Charge แบบ AC ชาร์จพลังงานตั้งแต่ 0 – 100% ผ่าน MG Home Charger แบบหัวชาร์จ TYPE II ซึ่งใช้เวลาประมาณ 7 ชั่วโมง 15 นาที (ขึ้นอยู่กับระดับแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่) นอกจากนี้ยังสามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ได้ด้วยระบบ Regenerative ผ่านระบบ KERS Mode (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับเลยทีเดียว
และที่สำคัญก็คือค่าใช้จ่ายซึ่งได้รับการการันตีว่า “ต่ำ” ทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านพลังงานจากการชาร์จผ่าน MG Home Charger โดยสามารถชาร์จจาก 0%-100% และมีค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าประมาณ200 บาท* ต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามระยะทางตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน ที่จะมีค่าใช้จ่ายรวมไม่เกิน 8,000 บาท
ตลอดจนการบำรุงรักษาแบตเตอรี่ในระยะยาว ด้วยการใช้เทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ Module ในกรณีหากจำเป็นต้องมีการบำรุงรักษา ก็สามารถแยกเปลี่ยนเฉพาะ Module นั้นๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งชุด จึงทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวได้
*อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ 3.96 บาทต่อหน่วย ไม่รวมค่า FT และภาษีมูลค่าเพิ่ม อ้างอิงจากข้อมูลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ณ เดือนมิถุนายน 2563
ราคารถใหม่
MG รุ่น EP ราคา 988,000 บาท