NEW MG HS PHEV ชูจุดเด่นเหนือระดับด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid เคาะราคาเป็นมิตรที่ 1,359,000 บาท
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย ตอกย้ำภาพลักษณ์ผู้นำตลาดในกลุ่มรถ SUV และรถยนต์พลังงานทางเลือกในไทย เปิดตัว NEW MG HS PHEV ด้วยแนวคิด “REFINEMENT” สะท้อนถึงความเหนือระดับด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid พร้อมราคาสุดเร้าใจเพียง 1,359,000 บาท
NEW MG HS PHEV มาตรฐานใหม่ของรถ Plug-in Hybrid
สำหรับเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของ MG HS นั้นมากับสถานะของยนตรกรรมเอนกประสงค์ SUV แบบ PHEV ที่โดดเด่นเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่เกิดขึ้นจาก 2 ระบบขับเคลื่อน 2 คือ เครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อยกระดับสมรรถนะในการขับขี่ ควบคู่กับไปไฮไลต์ด้านเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัยขั้นสูง ภายใต้งานดีไซน์ที่โดดเด่นจากแนวคิด Brit Dynamic
โดยระบบ Plug-in Hybrid ดังกล่าวจะมากับพละกำลังรวมสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร ที่เกิดขึ้นจากเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 162 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่มีกำลังสูงสุด122 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 230นิวตันเมตร
ส่วนระบบส่งกำลังมากับชุดเกียร์ EDU II แบบ 10 สปีด ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ทำให้ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์ได้รวดเร็วเพียง 0.2 วินาที ทั้งยังมากับความนุ่มนวลในการถ่ายทอดได้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนมาพร้อมรูปแบบการขับขี่ถึง 5 โหมด คือNormal, Eco, EV และ Sport เสริมด้วยโหมด Super Sport เพื่อมอบบอรรถรสที่เร้าใจยิ่งขึ้น โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลาเพียง 7.5 วินาที
นอกจากนี้แบตเตอรี่ในที่ติดตั้งใน MG HS PHEV ยังมากับแบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง และมีขนาดใหญ่ถึง 16.6 กิโลวัตต์ ทำให้มีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพในการสะสมพลังงานได้มากกว่า และส่งให้สามารถวิ่งได้นาน และทำระยะทางได้มากขึ้น จากพลังงานไฟฟ้า100% ทำได้สูงสุดถึง 67 กม. ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
ทั้งยังมีการใช้เทคโนโลยีมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hairpin Design ซึ่งทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าดึงสมรรถนะของการส่งกำลัง และลดอัตราการสูญเสียพลังงานได้ดียิ่งขึ้น ตามด้วยการติดตั้งระบบระบายความร้อนแบบ Coolant ที่ดีกว่าระบบระบายความร้อนแบบปกติ เพื่อให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมด้วยการเพิ่มความมั่นใจ และปลอดภัยในการขับขี่ จากแบตเตอรี่ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก AMERICANUL2580 และผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน IP67 ในการป้องกันน้ำ และฝุ่นอีกด้วย
รวมไปถึงการติดตั้งระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถชาร์จพลังงานในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) ซึ่งเลือกระดับการชาร์จได้ถึง 3 ระดับ และทั้งหมดส่งผลให้เกิดอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดอยู่ที่ 65 กม./ลิตร* และมีการปล่อยค่าไอเสีย หรือคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 36 กรัม/กม. (*อ้างอิงข้อมูลจาก Eco Sticker)
รูปลักษณ์ของ MG HS PHEV ยังคงโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ยกระดับพื้นฐานมาจากรถยนต์ C-SUV อย่างรุ่น MG HS ที่มีการผสานความหรูหรา และความสปอร์ต ทั้งจากเส้นสายตัวถังที่โค้งมนแบบ British Shoulder Line จากรายละเอียดต่างๆ เช่น ชุดกระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะแบบ Stellar Magnetic Field, ชุดไฟหน้าแบบ LED Projectorพร้อมระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ และชุดไฟ Daytime Running Lights ตลอดจนชุดไฟท้ายแบบ LED Space Light Field และไฟเลี้ยวแบบ Sequential แสดงผลแบบไล่ระดับทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ไปจนถึงการเพิ่มเอกลักษณ์ความเป็น Plug-in Hybrid ด้วยล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่สไตล์ Thunder Wing Blade ขนาด 18 นิ้ว
ส่วนภายในห้องโดยสารมากับการตกแต่งสี 2-Tone Monaco Blue พร้อมการเลือกใช้วัสดุ Soft Touch เพื่อยกระดับความหรูหรา ผสมผสานกับอารมณ์ความสปอร์ตจากเบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat ตกแต่งด้วย Alcantara พร้อมระบบปรับไฟฟ้า 6 ทิศทางด้านคนขับ และ 4 ทิศทางสำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า ทั้งยังเพิ่มความเป็นส่วนตัวในห้องโดยสารด้วยฟิล์มกันเสียง และแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสารแบบ NVH Luxury Silence Space เพื่อช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอก
ด้านความเพลิดเพลินในห้องโดยสารนั้นไล่มาตั้งแต่ ออพชั่นหลังคา Panoramic Sunroof ที่เปิดกว้างได้ถึงเกือบ 90% ของพื้นที่, จอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว และจอควบคุมกลางแบบ Touch Screen ขนาด 10 นิ้ว รองรับระบบเครื่องเสียง BOSE 8.1 Sound System ควบคู่ไปกับบรรยากาศ และสีสันด้วย Interactive Ambient Light ที่ปรับได้มากถึง 64 เฉดสี, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกฝั่ง Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และระบบกรองอากาศ PM 2.5 ตลอดจนออพชั่นมาตรอื่นๆ ที่จัดมาให้ เช่น กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start และฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า
จุดเด่นสำคัญยังคงเป็นระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสื่อสารกับรถเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยี AI ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ขับขี่ด้วย Smart Command ที่สามารถสั่งการระบบผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทย หรือควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน
ทั้งยังช่วยความปลอดภัยด้วย Emergency Call ซึ่งเป็นระบบโทรหาคนสำคัญอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉินเมื่อถุงลมนิรภัยทำงาน, การอำนวยความวะดวกด้วย Smart Connect เชื่อมต่อโลกออนไลน์ให้เลือกฟังเพลงได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และสตรีมมิ่ง รวมถึงระบบค้นหาร้านอาหาร, สถานที่ท่องเที่ยว พร้อมนำทาง และรายงานการจราจรแบบ Real Time ไกจนถึงการอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างทันเหตุการณ์
ตลอดจนการอัพเกรดระบบได้เองผ่านช่องทางออนไลน์ Smart Check ที่มีระบบ Charging Management ในการตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ และการค้นหาสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมถึงการตรวจสอบสถานะรถยนต์และเตือนเมื่อมีสถานะผิดปกติสั่งการล็อคหรือปลดล็อคประตูรถ ค้นหารถด้วยระบบ Find My Car และการเข้าถึงบริการ Passion Service เพื่อช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึงการบันทึกการดูแลรักษารถตามระยะผ่าน MG Mobile Application อีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะยังมีอีกหนึ่งไฮไลต์ คือ ระบบควความปลอดภัยที่อัดแน่น อยู่ภายใต้โครงสร้างตัวถังนิรภัย Full Space Frame เสริมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System กว่า 25 ระบบ ที่แบ่งออกเป็นระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรก และช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ถึง 14 ระบบ ทำงานควบคู่ไปกับระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ซึ่งถือเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับที่ 2 (Partial Automation) โดยจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ
กลุ่มระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา RDA (Rear Drive Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA(Rear Cross Traffic Alert)
- ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)
กลุ่มระบบเตือน และควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS (Lane Assist System)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning)
- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA(Lane Keep Assist)
กลุ่มระบบที่ช่วยในการขับขี่ FDA (Front Drive Assist)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control)
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning)
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC(Intelligent High-Beam Control)
ซึ่งทั้งหมดจะทำงานร่วมกับระบบช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุอีกถึง 11 ระบบ
ราคารถใหม่
MG HS PHEV ราคา 1,359,000 บาท