Porsche 911 Turbo S … ยกระดับด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำด้านอากาศพลศาสตร์
ทรงพลัง พร้อมกับให้ความสปอร์ต และความสบายได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งนี่คือการสร้างมาตรฐานใหม่ของ Porsche 911 Turbo S เจนเนอเรชั่นล่าสุด ที่มาพร้อมความล้ำสมัยของเทคโนโลยีจากแบรนด์ Porsche ที่บรรจงใส่ลงไปในยนตรกรรมระดับเรือธงรหัส 911 ของพวกเค้า
Porsche 911 Turbo S อัพเกรดนวัตกรรมล้ำ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่
รายละเอียดความเจ๋งของ 911 เจนเนอเรชั่นใหม่ นั้นต้องยกให้กับเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า PAA (Porsche Active Aerodynamics) ที่สามารถปรับอากาศพลศาสตร์รอบรถให้เข้าได้กับทุกสถานการณ์การขับขี่อย่างชาญฉลาด โดยระบบนี้ถูกเปิดตัวให้โลกรู้จักไปใน 911 เทอร์โบเจนเนอเรชั่นที่แล้วในปี 2014 จากนั้นจึงได้ถูกนำมาใช้กับยนตรกรรมรุ่นใหม่ๆ เช่น 718, Panamera และ Taycan
โดยระบบ PAA (Porsche Active Aerodynamics) จะประกอบไปด้วยชุด Cooling Air Flaps ที่ติดตั้งอยู่ในช่องดักอากาศทั้ง 2 ฝั่งของชุดกันชนหน้า ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ที่ช่วยให้เกิดแรงต้านอากาศที่น้อยลง ทั้งยังรวมถึงควบคุมปริมาณอากาศเย็นเข้าสู่ระบบระบายความร้อนอย่างเหมาะสมได้อีกด้วย จากการบริหารจัดการโดยระบบ Intelligent Energy Management System ที่คำนวณความต้องการได้อย่างละเอียด ระหว่างความต้องการระบายความร้อนด้วยพัดลม หรือจากกระแสลมภายนอก ซึ่งหลักการทำงานคร่าวๆ ก็คือ ชุด Air Flaps จะทำการปิดตัวลงให้นานเท่าที่ทำได้เมื่อใช้ความเร็วมากกว่า 70 กม./ชม. ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างความประหยัดเชื้อเพลิงขณะขับขี่ในชีวิตประจำวันนั่นเอง
ขณะเดียวกันเมื่อใช้ความเร็วเกินกว่า 150 กม./ชม. ชุด Air Flaps ก็จะทำการค่อยๆ เปิด ตามระดับความเร็วที่ใช้ เพื่อสร้างสมดุลด้านอากาศพลศาสตร์ให้เหมาะสมไปจนถึงระดับความเร็วสูงสุด ทั้งยังทำงานสัมพันธ์กับการเลือกใช้โหมดการขับขี่อีกด้วย เช่น Sport, Sport Plus หรือใน Wet Driving Modes แบบที่ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Porsche Stability Management (PSM) ถูกปิดการทำงาน และมีการกดปุ่มเพื่อเปิดการทำงานงานสปอยเลอร์
นอกจากนี้ด้านหน้าของตัวรถยังมากับการติดตั้ง Active Front Spoiler ใต้กันชนหน้า ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เพื่อยกระดับศักยภาพด้านอากาศพลศาสตร์ให้ดีขึ้นกว่าเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมา ด้วยการทำงานที่รวดเร็วขึ้น และสามรรถทนทานต่อแรงดันบริเวณใต้รถอากาศได้ดี โดยการสร้างขึ้นจากวัสดุพลาสติกที่มีความยืดหยุ่นสูงที่เรียกว่า elastomer และชุด Active Front Spoiler นี้จะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนอิสระ แต่เชื่อมต่อกัน ซึ่งสามารถยืด และหดกลับได้จากการทำงานด้วยปั๊ม Actuator
ที่ในการใช้ความเร็วปกติชุด Active Front Spoiler ทั้งฝั่งซ้าย และขวา จะถูกยื่นออกมา เพื่อจัดเรียงกระแสลมใต้ท้อง และลดแรงยกที่อาจเกิดขึ้นกับด้านหน้ารถ แต่หากเป็นการขับขี่ที่ใช้สมรรถนะรถอย่างเต็มที่ ชุด Active Front Spoiler ทั้ง 3 ส่วน จะถูกยืดออกมาสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการสร้างแรงกด Downforce ด้านหน้า เพื่อเพิ่มเสถียรภาพการยึดเกาะถนนอย่างเต็มที่
ปิดท้ายด้วย Rear Wing ด้านหลังที่สร้างขึ้นจากวัสดุน้ำหนักเบาลงจากเจนเนอเรชั่นที่แล้ว ด้วยวัสดุคาร์ยอนไฟเบอร์ ผสมพลาสติก (CFRP) และไฟเบอร์กลาส ผสมพลาสติก (GFRP) ที่มาพร้อมระบบ Electric Adjustment ซึ่งสามารถปรับองศาได้ด้วยระบบไฟฟ้า โดยจะทำงานควบคู่ไปกับฟังค์ชั่นการเลือกโหมดการขับขี่ที่ประกอบด้วย Eco ที่จะทำการปรับ Rear Wing ให้มีองศาการต้านทานอากาศน้อยที่สุด และหากขับขี่ด้วย Performance II ที่ใช้ความเร็วมากกว่า 260 กม./ชม. องศาของ Rear Wing ก็จะถูกปรับให้มีการต้านทานอากาศอย่างเหมาะสม เพื่อช่วยลดภาระที่เกินขึ้นจากแรงกด Downforce ไปสู่ยางคู่หลังเช่นกัน
นอกจากนี้ตำแหน่งของ Rear Wing ที่มีการปรับเปลี่ยนใหม่ เมื่อถูกใช้งานร่วมกับ Active Front Spoiler ก็ยิ่งสามารถช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านอากาศพลศาสตร์ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของล้อหลัง เมื่อเปิดใช้ฟังค์ชั่นการขับขี่ใหม่ที่เรียกว่า Wet Mode ซึ่งจะมากับเซ็นเซอร์ ติดตั้งที่บริเวณซุ้มล้อหน้า เพื่อตรวจจับเสียงจากละอองน้ำที่มากระทบกับบังโคลน ซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติ หรือผู้ขับขี่จะเป็นคนเปิดใช้ระบบนี้เองก็ทำได้จากสวิทช์บนพวงมาลัย ทั้งยังถูกปรับเซ็ทมาให้ควบคุม และสร้างเสถียรภาพสูงสุดในการขับขี่อีกด้วย
ปิดท้ายความล้ำสมัยด้วยระบบ Airbrake ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติ ในกรณีที่มีการเบรกเต็มรูปแบบจากความเร็วสูง โดยที่ Active Front Spoiler และ Rear Wing จะถูกย้ายปรับไปยังตำแหน่ง Performance เพื่อสร้างแรงต้านทานอากาศในระดับสูง ตลอดจนสร้างแรงกด Downforce เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นกำลังเสริมในการเบรก ตลอดจนสร้างเสถียรภาพที่ดีในขณะเบรกอีกด้วย