รีวิว : BMW X7 M50d … AKA “The President” ความ “สุด” ในราคาที่หยุดไว้ 8.999 ล้าน (VDO Clip)
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเหล่ายนตรกรรมอเนกประสงค์จากค่ายใบพัดฟ้า-ขาว เค้ามี “ฉายา” เพื่อบ่งบอก “ฐานะ” เช่น “The Boss” ที่ถูกตั้งให้กับ SAV อย่าง BMW X5 … เพราะฉะนั้นคงเดาไม่ยากกับ BMW X7 M50d ยักษ์ใหญ่สาย SAV เต็มเปี่ยมด้วยดีกรี “ความสมบูรณ์แบบ” จะมากับการขนามนามว่าอะไร … ถ้าไม่ใช่ “The President”
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=1FOfQHvEMeY[/embedyt]
BMW X7 M50d … The Perfect Luxury
การถูกขนานว่า “The President” ของ The X7 คงไม่ได้มาง่ายๆ หากไร้ซึ่งความ “สมบูรณ์แบบ” ที่ถูกกำหนดให้อยู่บนตัวรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่สุดในสายของ SUV ที่แบรนด์ BMW ได้ให้คำจำกัดความใหม่ไว้อย่างชัดเจนว่า SAV หรือ Sports Activity Vehicle โดยความ “ใหญ่” ที่ว่านั้นมากับขนาดมิติตัวถัง ซึ่งประกอบด้วยความยาว 5,151 มม. ความกว้าง 2,000 มม. และความสูง 1,805 มม. พร้อมน้ำหนักตัวระดับ 2,535 กก.
นำเสนองานดีไซน์ผ่านแนวทางใหม่ทั้งหมด เช่น ชุดกระจังหน้าขนาดมโหฬาร ที่มากับเทคโนโลยี Active Air Stream สำหรับเปิด-ปิดซี่กระจัง เพื่อควบคุมอุณหภูมิในห้องเครื่องอย่างเหมาะสม แถมด้วยชุดไฟหน้าทรงเฉี่ยว BMW Laserlight ที่คุณสมบัติโดดเด่น และทำงานแบบอัตโนมัติ ชนิดที่เรียกว่าไม่ต้องทำอะไรอีกเลย หลังจากแค่กดปุ่ม “Auto” ส่วนด้านล่างบริเวณกันชนหน้าประกอบด้วยชุดไฟตัดหมอกหน้า LED และช่องดักอากาศขนาดใหญ่เต็มพื้นที่ความกว้าง ต่อเนื่องไปถึงด้านข้างตัวรถที่สะดุดตาด้วย Air Breather ขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ และระบายความร้อนให้ระบบเบรก M Sport ที่ซ่อนอยู่หลังล้ออัลลอยด์ BMW Individual ขนาด 22 นิ้ว
มุมมองด้านหลังเห็นถึงความใหญ่โต บึกบึน ไปพร้อมๆ กับความรู้สึกกว้างขวาง ผ่านเส้นสายแนวนอนของชุดไฟท้าย ซึ่งโยงทั้ง 2 ด้านเป็นหนึ่งเดียว ด้วยวัสดุตกแต่งโครเมี่ยม เสริมความโหดจากชุดท่อไอเสียทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ 2 ข้างบริเวณมุมชุดกันชนหลัง …ซึ่งด้วยสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นก็น่าจะมากพอจะทำให้นึกภาพออกถึงความใหญ่โต
และด้วยความใหญ่โตที่อาจขัดตา จนสร้างความรู้สึกเทอะทะ ทำให้การสวมชุดแต่ง M Aerodynamics คือ สิ่งที่ทำให้เกิดอารมณ์ความสปอร์ต ปราดเปรียวให้ไม่ว่าใครก็ตามที่พบเห็นเข้าใจว่าความอลังการจะไม่สร้างปัญหา หรือความลำบากในการใช้งาน เพราะขนาดเราเองยังมีความ “ประหม่า” เกิดขึ้น หลังจากบรรจุตัวเองสู่หลังพวงมาลัย เพื่อพบความไม่คุ้นชินกับมุมมอง ตลอดจนขนาดของชิ้นงานต่างๆ ที่ออกแบบใหม่ เพื่อให้ลงตัวกับ “ขนาด” ของรถ ซึ่งใหญ่กว่าเคยพบเจอ
ขณะที่บรรดา “ออพชั่น” ก็จัดมาให้แบบที่น่าจะ “ไม่ต้องการ” อะไรเพิ่ม ว่ากันไปตั้งแต่ระดับพื้นฐานตามสไตล์ BMW ที่คุ้นเคยกันดี เช่น หน้าจอ BMW Live Cockpit Professional แบบดิจิตอล สำหรับผู้ขับขี่กับขนาดที่แสดงผลให้เห็นได้อย่างเด่นชัด เช่นเดียวกับหน้าจอ Infotainment ที่รองรับระบบ BMW ConnectedDrive ไปจนถึงระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth และช่อง USB
ตลอดจนระบบเครื่องเสียงจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Harman Kardon ที่ควบคุมได้ทั้งปุ่มมัลติฟังค์ชั่นบนพวงมาลัย, ฟังค์ชั่น iDrive หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวด้วยมือ BMW Gesture Control ก่อนปิดท้ายด้วยระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ที่ไม่เพียง Support แค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงกุญแจรีโมท BMW Display Key ที่จะทำให้ไม่ต้องกลัวเรื่องกุญแจแบตหมดอีกต่อไป
โดยกุญแจรีโมท BMW Display Key ก็คืออีกสิ่งที่ Add-On เข้ามาเพิ่มความสะดวกสบาย ด้วยการมากับฟังค์ชั่นการควบคุมต่างๆ เช่น การปรับระดับสูง-ต่ำของตัวรถ ไปจนถึงการแจ้งเตือนความขี้หลงขี้ลืม อย่างการลืมล็อคประตู หรือแม้กระทั่งลืมปิดหน้าต่าง ก็สามารถตรวจสอบได้ผ่านหน้าจอ Display บนกุญแจ
ทั้งยังมีความ “อัตโนมัติ” แม้ในฟังค์ชั่นของฐานะรถอเนกประสงค์ อย่างการเปิดฝาท้ายด้วยระบบไฟฟ้า ที่แค่พกกุญแจ และ “กวาดขา” ไปใต้กันชน จนถึงการปรับเบาะนั่งแถวที่ 2 หรือพับเบาะนั่งแถว 3 เพื่อขยายพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระก็ทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ “กดปุ่ม” เท่านั้น
Size Doesn’t Matter … By Performance
“ขนาด” คือ ประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อการใช้งาน โดยเฉพาะขับขี่ในเมือง ซึ่งจากรายละเอียดตามสเปคบอกเลยว่า “ความคาดหวัง” ต้องมี เพราะนี่คือเครื่องยนต์อันทรงพลังจากพื้นฐานดีเซล 6 สูบ พิกัด 3.0 ลิตร เสริมแรงด้วยเทคโนโลยีระบบอัดอากาศ BMW M Performance TwinPower Turbo แบบ Quad Turbo รวมทั้งหมด 4 ตัว โดยแบ่งเป็นชุดอัดอากาศความดันต่ำ 2 ตัว และความดันสูง 2 ตัว
ซึ่งสร้างพละกำลังสูงถึง 400 แรงม้า พร้อมแรงบิดมหาศาลระดับ 760 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อม Sport Steptronic สู่ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ 4 ล้อ xDrive และเสริมประสิทธิภาพการขับขี่ด้วยระบบพวงมาลัยไฟฟ้าปรับน้ำหนักตามความเร็วขณะขับขี่ Servotronic, ระบบปรับองศาของล้อหลัง Integral Active Steering และชุดเฟืองท้าย M Sport
ตลอดจนช่วงล่างถุงลมแบบ Adaptive 2-Axle พ่วงออพชั่น Executive Drive Pro ซึ่งแปรผันระดับความสูงตามระบบเลือกรูปแบบการขับขี่ BMW Driving Experience Control หรือเลือกปรับแบบ Manual ได้จากทั้งบนกุญแจรีโมท BMW Display Key และปุ่มปรับบริเวณคอนโซลเกียร์ในตำแหน่งใต้ปุ่มฟังค์ชั่น iDrive
City Test … The President
และด้วยฐานะของรถอเนกประสงค์ SAV ที่มากับมิติตัวถังขนาดใหญ่ ทำให้ความสามารถในการใช้งานในชีวิตประจำวัน คือ สิ่งน่าสงสัย ฉะนั้นเราจึงพุ่งเป้าไปยังกลางใจเมืองเป็นหลัก บนเส้นทางที่ยามบ้านเมืองปกติ นั้นรถติดหนักหนาสาหัส แต่ด้วยช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้นจึงทำให้รถราบางตาไปกว่าปกติ แต่ก็ถือว่าพอเอื้อให้ The X7 เผยอะไรออกมาให้ชมได้บ้าง
ด้วยสิ่งแรกที่เราทำกับการเริ่มต้นช้าๆ เพื่อทำความคุ้นเคย ตั้งแต่การคำนวณระยะผ่านมุมมองต่างๆ ให้เข้ากับขนาดของตัวรถ โดยข้อดีก็คือเพิ่มความมั่นใจ ผ่านทัศนวิสัยซึ่งมีความสูงของตัวรถเป็น “ทุน” ให้มองการณ์ไกล และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ตามด้วยการทำความคุ้นเคยกับ “สมรรถนะ” ที่ช่วย “ลดข้อจำกัด” ความเป็นรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ด้วย จังหวะการทำงานที่ฉับไว ด้วยองค์ประกอบแบบเดียวกับรถสปอร์ต แต่อยู่ภายใต้เรือนร่างของรถอเนกประสงค์ ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อจัดสรรเรี่ยวแรงเหลือๆ ให้อยู่ภายใต้ความเหมาะสมกับสไตล์การขับขี่
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ The X7 สามารถใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องตัวเกินคาด ตั้งแต่ความเร็วต่ำ ยามเคลื่อนตัวตามตรอกซอกซอย ด้วยการการันตีวงเลี้ยวแคบสุดเทียบเท่าระดับ BMW 3 Series ด้วยการเพิ่มระบบปรับองศาล้อหลัง Integral Active Steering มาเสริมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ xDrive ที่ในความเร็วต่ำจะทำการการหักเลี้ยวล้อหลังไปในทิศทางเดียวกับล้อหน้า และจะหักเลี้ยวล้อหลังไปในทิศทางตรงกันข้ามขณะใช้ความเร็วสูง เพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพการยึดเกาะ
ซึ่งด้วยองค์ประกอบด้าน “สมรรถนะ” เพียงอย่างเดียว ก็มากพอที่จะทำให้เรารู้สึกว่า The X7 เป็น SAV ที่มีทั้งความ “เดือดสุดๆ” และให้ความมั่นใจได้ “สุดๆ” ผสมผสานเป็นแรงดึงดูดให้ไม่ว่าจะใครก็ตามที่มีโอกาสได้สัมผัส ต่างก็ต้องหลงใหล อยากกุมบังเหียนล่องไปทั่วทุกมุมเมือง ทั้งความเร็วต่ำๆ ความเร็วเดินทางปกติ ในอรรถรสที่ทำให้การใช้ชีวิตบนท้องถนนในเมืองอันแสนน่าเบื่อ เปรียบเสมือนความเพลิดเพลินอยู่ในสวนสนุก
และกับความสามารถระดับนี้ของ The X7 แถมด้วยการการันตีตัวเลขจากโรงงาน คือ 0-100 กม./ชม. ใน 5.4 วินาที กับ ท็อปสปีดสูงสุด 250 กม./ชม. ก็คงไม่มีอะไรต้องน่าสงสัยอีกต่อไปในเรื่องการใช้งานในรูปแบบเดินทางไกล ทั้งฉายเดี่ยว หรือ หมู่คณะ ด้วยบุคลิกที่กำหนดได้เองจากระบบเลือกรูปแบบการขับขี่ BMW Driving Experience Control ที่มีให้เลือก เช่น เน้นประหยัดกับ Eco Pro หรือการปรับตัวอัตโนมัติในโหมด Adaptive
ไปจนถึงความต่างชนิดที่ผู้โดยสารด้านหลังรับรู้การกำหนดจุดยืนได้อย่างชัดเจน ตั้งแต่การตอบสนองผ่านน้ำหนักคันเร่ง, น้ำหนักพวงมาลัย และช่วงล่างถุงลมแบบ Adaptive ระหว่างโหมด Comfort ที่แสนสบาย และโหมด Sport ที่ดุดันในทุกสัมผัส เพื่อเอื้ออำนวยให้เราสามารถเป็นได้ทั้ง “คนอ่อนโยน” และ “ห้าวหาญ” ได้ด้วยรถคันเดียวกัน
สะดวกสบาย ปลอดภัย … แต่ควรใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา
The X7 ไม่ได้มีความโดดเด่นเพียงแค่ “สมรรถนะ” เท่านั้น แต่ยังประกอบด้วยความสะดวกสบายด้วยฟังค์ชั่นต่างๆ มากมาย เช่นเดียวกับตัวช่วยระบบความปลอดภัยที่จัดมาให้ตั้งแต่ขั้น Basic ไปจนถึงระดับ Advance ซึ่งส่วนใหญ่ถือว่ามีความคุ้นเคยกันดี แต่จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัส เราคิดว่าบางระบบก็ดูเหมือนควรใช้ให้ถูกที่ ถูกเวลา
เช่น ระบบเตือนเมื่อรถออกจากเลน ที่หากคุณเป็นสาย “มุด” หรือ “ขี้เกียจ” เปิดไฟเลี้ยวเมื่อเปลี่ยนเลน เราแนะนำให้เปิดใช้แค่การสั่นแจ้งเตือน หรือไม่ก็ปิดไป เพราะการเปิดใช้เต็มระบบ ที่พ่วงมาด้วยการช่วยควบคุมพวงมาลัย ดูจะเป็นอะไรที่ทำเอา “สะดุ้ง” ไม่น้อย เพราะเมื่อหวดด้วยความเร็วมากกว่า 60-70 กม./ชม. แล้วกระทำการดังที่ว่ามา
ระบบจะคิดว่าคุณหลับใน หรือใจลอย ทำให้รถออกนอกเลน จนระบบต้องยื่นมือช่วย ด้วยการเข้าควบคุมพวงมาลัยเพื่อดึงรถกลับเข้าเลน แต่เป็นแบบที่รวดเร็วจนน่าตกใจ เรียกว่า ไม่ใช่แค่ “รถ” เท่านั้นที่กลับมา แต่รวมถึง “สติ” ของคนขับด้วยเช่นกัน ฉะนั้นเราแนะนำให้ใช้ระบบนี้อย่างถูกที่ ถูกเวลา หรือไม่ก็เปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ใหม่จะดีกว่า
แล้วก็ยังมีอีกหนึ่งความสะดวกสบายสุดล้ำกับปุ่ม P ข้างคันเกียร์ ซึ่งเรียกว่าระบบ PDC หรือ Park Distance Control สำหรับเปิดใช้ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ Parking Assistant Plus ที่ทำชีวิตให้ง่ายขึ้นกับ “การจอด” ทั้งแบบเทียบข้าง หรือถอยเข้าซอง โดยจะทำงานร่วมกับกล้องมองภาพรอบทิศทาง
ซึ่งวิธีใช้ก็ง่ายดาย เพียงแค่กดปุ่มระบบ PDC และสั่งการจากบนหน้าจอ Infotainment ตั้งแต่เลือกฟังค์ชั่น Parking Assist จากนั้นก็ไหลรถไปช้าๆ ทำเหมือนการหาช่องจอดรถปกติทั้งเทียบข้าง หรือเข้าซอง ซึ่งเมื่อระบบเจอช่องจอด ก็จะแสดงผลบนหน้าจอให้เราเลือก แล้วก็นั่งเฉยๆ ไม่ต้องควบคุมอะไรทั้งการเปลี่ยนเกียร์, ทิศทางของพวงมาลัย และการเบรกจนกว่าจะจอดเสร็จสิ้น
โดยระบบนี้จะพ่วงมากับฟังค์ชั่น Reversing Assistant ที่เราแนะนำว่าควรทำความคุ้นเคยกันก่อน เพราะค่อนข้างมี “ความต่าง” เนื่องจากหน้าที่หลักๆ คือ “การถอย” อัตโนมัติ เช่น เส้นทางแคบๆ ที่ยากต่อการกลับรถ นอกจากต้องถอยอย่างเดียว และ The X7 ทำให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยการเปิดระบบการทำงานเหมือนกันจากปุ่มระบบ PDC และเลือกฟังค์ชั่น Reversing Assistant จากบนหน้าจอ Infotainment และตามด้วยเปลี่ยนเป็นเกียร์ถอย (R) เพียงเท่านั้น ระบบก็จะเข้าทำการควบคุมพวงมาลัย และการถอยหลังอัตโนมัติตามเส้นทางครั้งสุดท้าย จนกลับมาถึงตำแหน่งเดียวกับตอนเดินหน้าเข้าไป
ภายใต้เงื่อนไขการจดจำขณะเดินหน้าในระยะ 50 เมตรสุดท้าย และความเร็วที่ใช้ต้องไม่เกิน 35 กม./ชม. ส่วนการถอยหลังจะถูกจำกัดความเร็วสูงสุดไม่เกิน 9 กม./ชม. โดยที่ระบบจะจัดการทิศทางของพวงมาลัยให้ ขณะที่ผู้ขับขี่ทำหน้าที่ควบคุมคันเร่ง และเบรกเอง … ซึ่งนี่แหละคือสิ่งที่เป็น “ความต่าง” ระหว่าง “การจอด” ที่ต้องใช้ความ “คุ้นเคย” ในการใช้งาน โดยอย่าเหมาเอาว่าฟังค์ชั่น Reversing Assistant จะทำหน้าที่เบรกให้เด็ดขาด เพราะถ้าพลาดก็คงเดาออกว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ราคารถใหม่
BMW รุ่น X7 M50d ราคา 8,999,000 บาท