รีวิว : Audi A6 Avant 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition … จำกัดความสั้นๆ ว่า “ร้ายลึก” (Clip)
การได้จับคู่กับ Audi A6 Avant 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition ทำให้เรามีมุมมองบางอย่างเปลี่ยนไป และนึกถึงอะไรได้หลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องราวความต้องการของผู้บริโภคที่มีต่อ “รถอเนกประสงค์” ซึ่งเมื่อกล่าวถึง หลายคนคงให้ความสำคัญกับ SUV หรือ PPV เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ จนลืมไปว่ายังมีอีกหนึ่งประเภทของรถอเนกประสงค์ คือ Station Wagon ทำตลาดในโลกนี้มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะจากฟากฝั่งยุโรป
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=NOsi_Yv2SLg[/embedyt]
Feeling Change … Vision Change
สำหรับในมุมมองของผม ที่มีต่อรถแบบ Station Wagon ต้องบอกว่าค่อนข้างที่จะเฉยๆ มากกว่าจะตัดสินว่า “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ” ซึ่งอาจจะต่างจากส่วนใหญ่ที่อาจจะรู้สึก “ไม่ชอบ” เพราะความคิดฝังหัวว่ารถแบบนี้ สไตล์นี้ ดูแล้วน่าจะเหมาะสมกับ “Family Man สูงวัย” มากกว่า … และจากเหตุผลนั้นเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกว่าที่ผ่านมาเราจะเห็นการเปิดตัวรถใหม่ๆ ในบ้านเรายกให้โมเดล Sedan ยืนหนึ่ง
โดยมีโมเดล Station Wagon คอยประกบในฐานะทางเลือกแบบ “เงียบๆ” มาโดยตลอด ดังที่จะเห็นว่าช่วงเวลาหนึ่ง ในบ้านเราเคยมีสไตล์ Shooting Brake จากค่ายดาวสามแฉก ขณะที่ค่ายใบพัดสีฟ้ามีเวอร์ชั่น Touring ให้เลือกเป็นเจ้าของ ซึ่งหากดูจำนวนรถบนถนน ก็คงพอจะเดาได้ว่ากระแสตอบรับน่าจะยังไม่ดีเท่าที่ควร
กระทั่งมีผู้ “อาจหาญ” รายใหม่ ตั้งแต่การ “กลับมา” เพื่อสร้างแบรนด์ในตลาดเมืองไทยกับฐานะ Audi Thailand โดย Meister Technik ที่ได้รับการแต่งตั้งจาก Audi AG ประเทศเยอรมนี ในการเป็นผู้นำเข้า และผู้จัดจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ Audi อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ต่อเนื่องด้วยการจุดชนวนกระแส Station Wagon อีกครั้งด้วยการเปิดตัว A4 Avant ที่แค่เห็นก็ “หลงใหล” และยิ่งมากขึ้นเมื่อได้ “ลองขับ” ก่อนจะตามมามาด้วยการทำตลาดระลอก 2 ของตัวถัง Station Wagon ที่ภูมิฐานมากขึ้นกับ A6 Avant 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition ในราคา 4.299 ล้านบาท
Avant Style … กับการตีความผิดๆ และข้อ “ติ” เบาๆ
“รถมันยาว” คือ คำพูดแรกที่ Producer ของเรากล่าวถึง เมื่อผมบอกว่าจะมี A6 Avant 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition มาให้ถ่าย ซึ่งนั่นเรียกได้ว่าเป็นการตีความที่เกิดจาก “จิตปรุงแต่ง” ล้วนๆ เพราะตัวถังแบบ Station Wagon ของ A6 Avant มากับความยาวตัวรถที่เท่ากับ A6 เวอร์ชั่น Sedan แล้วก็รวมถึงภาพรวมของมิติตัวถังด้วยเช่นกัน ที่อยู่ในพิกัดใกล้เคียงกับแบรนด์ยุโรปชั้นนำบ้านเราไม่ว่าจะเป็น 5-Seires หรือ E-Class
เพียงแต่ด้วยรูปแบบตัวถัง คือ สิ่งที่ “ลวงตา” จนหลายคน “คิดไปเอง” ว่าเจ้า A6 Avant มีตัวถังที่ยาวกว่าปกติ ตามด้วยงานดีไซน์ที่นำเอาเส้นสายเฉี่ยวๆ คมๆ มาใช้ เพื่อทดแทนเหลี่ยมสันเชยๆ ของตัวถังแบบ Station Wagon จนทำให้ดูน่ามอง ด้วยอารมณ์ความสปอร์ตที่มากขึ้น แถมยังเข้ามาช่วยลดความรู้สึกเทอะทะได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยความเฉียบคมของเส้นสายที่ว่า ไล่มาตั้งแต่ด้านหน้าที่สะดุดตาด้วยชุดกระจังขนาดใหญ่ในรูปทรงคุ้นตา ชนิดที่เห็นไกลๆ ก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือรถค่ายไหน ลงตัวกับดีไซน์ของชุดไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่มากับชุดไฟ Daytime แบบ LED ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ขณะที่ด้านข้างดูแน่นหนาเต็มไม้เต็มมือด้วยล้อขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 245/45 R19 ลงตัวกับด้านหลังที่โชว์ความเซ็กซี่ด้วยเสา D-Pillar ที่วางองศาลาดเอียงในระดับเหมาะสม จนได้มาทั้งความสวยงาม และความอเนกประสงค์สำหรับการใช้งาน ทั้งยังสร้างความสะดุดตาด้วยรูปทรงแนวนนอนของชุดไฟท้ายแบบ LED และที่สำคัญเจ้า A6 Avant ที่จำหน่ายในบ้านเรายังมากับการแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มรูปแบบในฐานะ S-Line เสริมด้วยความดุสไตล์ Black Edition เข้าไปอีกด้วย
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ผสมผสานด้วยความ “เรียบง่าย” จากการตกแต่งที่เน้นโทนสีดำ เก็บรายละเอียด้วยอลูมิเนียมแบบด้านๆ ที่ลงตัวกับวัสดุหนังเกรดพรีเมี่ยม เติมด้วยอารมณ์ “สปอร์ต” ตามสไตล์ S-Line ที่สามารถสัมผัสได้จาก ชุดพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่นทรงฐานตัดแบบ D-Shaped พร้อม Paddle Shift ด้านหลัง รับกับเบาะนั่งทรงสปอร์ตที่ปักโลโก้เอาไว้บนพนักพิง, หัวเกียร์ทรงเตี้ยที่ออกแบบได้เท่ห์สุดๆ แล้วก็แป้นเหยียบอลูมิเนียม พร้อมกันลื่น ขณะที่บนหลังคาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Panoramic Sunroof เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าสำหรับเบาะนั่งคู่หน้า และด้านหลังแบบ Glassroof รับแสง
ด้านความ “ล้ำสมัย” ต้องยกให้กับหน้าจอดิจิตอล 3 ตำแหน่ง ประกอบด้วย จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual Cockpit Plus ขนาด 12.3 นิ้ว หลังพวงมาลัย ตามด้วยหน้าจอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว บนคอนโซลหน้า และถัดมาที่ด้านล่างกับหน้าจอควบคุมมัลติฟังค์ชั่นระบบปุ่มกดสัมผัส Haptic Feedback ขนาด 8.6 นิ้ว
ซึ่งหน้าจอตรงนี้ทำให้เกิดจุดด้อยบางอย่างก็คือ ช่องเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ใต้คอนโซลจะ “หายไป” แถมการออกแบบให้หน้าจอเป็นแบบเรียบๆ ยังทำให้ส่วนตัวรู้สึกไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อต้องการใช้ฟังค์ชั่น Audi Drive Selet, ปุ่มปิด/เปิดระบบ Auto Start/Stop หรือแม้กระทั่งปุ่มเปิดไฟฉุกเฉินก็ตาม เพราะการใช้มือคลำหาปุ่ม ดูจะกลายเป็นเรื่องยาก จนต้องย้ายสายตาจากถนนลงมามองทุกครั้ง เมื่อต้องการใช้งาน
ส่วนความอเนกประสงค์ที่มีให้อยู่ในตำแหน่งด้านหลัง จากห้องเก็บสัมภาระที่มาพร้อมเบาะนั่งด้านหลังที่ปรับพับได้แบบ 40/20/40 เพื่อเพิ่มขนาดความจุได้ตั้งแต่ 565 – 1,680 ลิตร แถมด้วยจุดด้อยก็คือ “เสียง” ที่ดูเหมือนเบาะนั่งแถว 2 จะสัมผัสได้มากหน่อย แต่ก็อยู่ในระดับที่ “รับได้” เพราะในจุดนี้ต้องมีความเข้าใจซักนิด กับลักษณะของตัวรถแบบ Wagon ซึ่งมีห้องเก็บสัมภาระ และห้องโดยสาร รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ขณะที่รูปแบบ Sedan จะมีการแยกสัดส่วนของห้องเก็บสัมภาระ และห้องโดยสารอย่างชัดเจน แถมมีตำแหน่งให้ติดตั้งวัสดุซับเสียงมากกว่าอีกด้วย
Audi A6 Avant 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition
ความ “เร้าใจ” สไตล์ “สุภาพบุรุษ”
พ่อหนุ่มรูปงามลำนี้มากับการขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเบนซินแบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พิกัด 2.0 ลิตรที่มากับระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection และระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ ทำกำลังสูงสุดได้ที่ 245 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 370 นิวตันเมตร โดยมีระบบ MHEV (Mild Hybrid Electric Vehicle) เป็นตัวช่วยเสริมแรงเบาๆ เพื่อช่วดลดภาระเครื่องยนต์
ส่วนระบบส่งกำลังมากับชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อม Paddle Shift และฟังค์ชั่นเปลี่ยนบุคลิก Audi Drive Select จับคู่กับระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ Quattro with Ultra Technology ซึ่งพิเศษกว่าปกติ นั่นคือ “แปรผัน” อัตราส่วนระหว่างล้อหน้า และล้อหลัง ตามความเหมาะสมกับสภาวะการขับขี่ เช่นเดียวกับน้ำหนักของพวงมาลัยระบบ Electromechanical Power Steering
อารมณ์ในการขับขี่ก็อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า “จิตปรุงแต่ง” ทำให้ตัวรถดูยาว ทั้งๆ ที่มิติโดยรวมก็เทียบเท่ากับแบรนด์ยุโรปพิกัดเดียวกันบ้านเรา ฉะนั้นว่ากันง่ายๆ ก็เหมือนคุณขับรถยุโรปขนาดกลางอย่างพวก 5-Series หรือ E-Class นั่นแหละ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ได้ลำบากมากกว่าปกติเท่าไหร่ แถมยังมาพร้อมความ “สบาย” ที่เกิดขึ้นจากความกว้างขวางของห้องโดยสาร ที่เอื้ออำนวยให้ทัศนวิสัยเบื้องหน้ามีความโปร่งโล่ง
ส่วนสมรรถนะของเครื่องยนต์ก็เป็นอารมณ์ที่ไม่ได้หวือหวาบ้าพลัง เพราะเราเดาว่าน่าจะดีไซน์ให้เป็นไปตามบุคลิกตัวรถในแบบที่ควรจะเป็น คือ มีพละกำลังให้ใช้เหลือเฟือ และต่อเนื่องตามน้ำหนักเท้า แม้จะไม่สะใจมนุษย์เท้าหนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันทำความเร็วไปได้แบบนิ่งๆ และราบรื่นด้วยการส่งต่อกำลังของชุดเกียร์ ชนิดที่เราเดาว่าน่าจะถูกใจพ่อบ้าน ที่ชอบซุกความร้ายไว้ใต้คราบของลูกแกะ
โดยมีฟังค์ชั่น Audi Drive Selet ไว้ให้เลือกใช้ ผ่านโหมดต่างๆ เช่น Efficiency, Comfort, Auto, Dynamic และ Individual ซึ่งในโหมดอื่นๆ ก็ตามที่ทุกๆ ท่านเข้าใจ แต่ติดอยู่นิดหน่อย ก็คือ โหมด Comfort และ Dynamic ที่ส่วนตัวรู้สึกว่ายังไม่แตกต่างกันแบบ “ชัดเจน” เท่าไหร่ เพราะต้องใช้สมาธิเล็กน้อยในการจับสัมผัสน้ำหนักพวงมาลัย และการตอบสนองของเครื่องยนต์ขณะกดคันเร่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเรา
เช่นเดียวกับระบบช่วงล่างที่ใช้พื้นฐานแบบ Five Link ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ซึ่งส่วนผสมหลักเน้นหนักทางความนุ่มแน่น ในแบบที่ว่าบนความเร็วต่ำ หรือกับถนนห่วยๆ ในบ้านเรา เค้าถนอมตับไตไส้พุงได้ดีเกินคาด แถมด้วยความนิ่งให้ระดับที่ให้คุณมั่นใจได้เต็มที่บนความเร็วสูง ชนิดที่ว่าถ้าบอกว่า “ช่วงล่างเทพ” เราก็เชื่อ
และจากภาพรวมทั้งหมด ในการลองของยนตรกรรมจากแบรนด์ Audi เป็นครั้งแรก ด้วยโมเดล A6 Avant 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition เราคงต้องบอกเป็นบทสรุปง่ายๆ ว่ามันเป็น Station Wagon ที่ตอบโจทย์เราได้ดีที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา ทั้งจากงานดีไซน์ที่เด่นดังสะดุดตา พละกำลังที่สมเหตุสมผล ตลอดจนสัมผัสในการขับขี่ที่ “ละมุน” จนเราเชื่อว่าถ้าคุณได้ลองต้อง “ติดใจ” เหมือนที่เรารู้สึก จนเราเองยังแอบหวังว่าถ้าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 คงต้องจัดไว้ครอบครองซักคัน
ราคารถใหม่
Audi รุ่น A6 Avant 45 TFSI Quattro S-Line Black Edition ราคา 4,299,000 บาท