BMW Fleet Review 2018 กิจกรรมมันส์ๆ จาก BMW Thailand (บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย)
เมื่อ 15 สิงหาคมที่ผ่านมา BMW Thailand (บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย) ตรึงพื้นที่ สนามปทุมธานีสปีดเวย์ จัดกิจกรรมมันส์ ชื่อ BMW Fleet Review 2018 ยกทัพยนตรกรรมในสังกัดหลากหลายรุ่นมาให้ลองขับ ก่อนจะจบงานด้วยไฮไลต์ในการซิ่งยนตรกรรมระดับเทพ กับตัวแรงที่เหล่า Bimmer ใฝ่ฝัน … ซึ่งบอกเลยงานนี้ iAMCAR ไม่มีพลาดร่วมงาน และนำมาเล่าให้ฟังแน่นอน
ทัพยนตรกรมในงาน BMW Fleet Review 2018
สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ บอกเลยว่าตระการตามากมาย หากคุณเป็นคนคลั่งใคล้ยนตรกรรมจากแบรนด์ BMW เพราะเค้า “ขน” มาจอดรอท่า ในแบบที่ว่า “อยากลอง” คันไหน ก็โดดขึ้นไปได้เลยทันที ไม่ว่าจะเป็น BMW 320d M Sport ราคา 2,459,000 บาท, BMW 330e M Sport ราคา 2,759,000 บาท, BMW 430i Convertible M Sport ราคา 4,259,000 บาท
ต่อเนื่องขึ้นไปถึงซีดานขนาดกลางยอดนิยมอย่าง 5-Series ที่นำมา 2 รุ่น คือ BMW 520d Sport ราคา 3,439,000 บาท, BMW 530e M Sport ราคา 3,939,000 บาท และ BMW 630d GT M Sport ราคา 4,739,000 บาท
ไปจนถึงรถอเนกประสงค์อย่าง BMW X2 sDrive20i M Sport X ราคา 2,999,000 บาท และ BMW X3 xDrive20d M Sport ราคา 3,799,000 บาท ซึ่งทั้งหมดน่าจะเรียกได้ว่าเป็น “ออเดิร์ฟ” ในขณะที่ Main Course งานนี้เราคงต้องยกให้กับ BMW M2 Coupe ราคา 5,939,000 บาท และ BMW M4 Coupe ราคา 8,909,000 บาท ที่จ่อคิวรอให้รอให้ลองขับ
ทั้งยังรวมไปถึงการนำเสนอฟังค์ชั่นสุดล้ำสมัยใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า BMW ConnectedDrive เทคโนโลยีสำคัญที่สามารถเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัด เพื่ออิสระในทุกจังหวะชีวิต ซึ่งติดตั้งในรถ BMW รุ่นใหม่ๆ อีกด้วย
2 กิจกรรมบนสนามที่ BMW Thailand (บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย) จัดให้
2 ส่วนหลักของงานในครั้งนี้ เริ่มต้นจากการรับฟังข้อมูลของฟังค์ชั่นสุดล้ำ BMW ConnectedDrive เพื่อตอกย้ำว่า สิ่งนี้ช่วยสร้างความสะดวกสบายให้แก่เจ้าของรถ BMW ในปัจจุบันมากแค่ไหน พร้อมด้วยการอัพเดตความคืบหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกสบาย ที่บอกได้เลยว่าในอนาคตจะมีอะไรล้ำๆ ให้เล่นได้อีก “เพียบ” แน่นอน
และเมื่อกิจกรรมในชั้นเรียนจบลง ก็ถึงคราวลงสนามที่เนรมิตเป็น Mini Circuit เบาๆ พร้อมด้วย “กฏ” ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และ “กติกา” ง่ายๆ ด้วยการ “เลือก” ขับตามใจชอบได้เลยทั้งหมด 5 คัน โดยสลับกันกับสื่อที่มาร่วมงาน โดยทีมงาน iAMCAR เริ่มต้นเบาๆ ด้วย BMW 520d Sport
ซีดานรุ่นใหญ่ที่มีความสปอร์ต ผสานกับความหรูหราอย่างลงตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกครบๆ ตามสไตล์ แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งที่เราจะมานั่งพิจารณาว่ามีอะไรบ้างเพราะนี่คือการลองขับ ฉะนั้นการ “โฟกัส” ที่ “สมรรถนะ” ดูจะเป็นเรื่องที่ “สมควร” กว่า โดยหลังจากความมันส์จบ เราก็คงต้องยืนยันอีกครั้งว่า 520d Sport คือ อีกหนึ่งสายหรูที่ไม่เพียงนั่งสบายเท่านั้น
แต่ยังมี “ความเร้าใจ” ที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อคุณใช้โหมด Sport เพื่อซึมซับความสามารถเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ BMW TwinPower Turbo 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร ส่งกำลังสู้ล้อหลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด ที่สามารถบอกได้เลยว่า “ขนาดไม่ใช่อุปสรรค” หากต้องการความสปอร์ตจาก 520d Sport
คันต่อมาสำหรับเรายังคงเป็นเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 4 สูบ BMW TwinPower Turbo 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร และการขับขี่ด้วยโหมด Sport ในตัวถังที่เล็กลงมากับ BMW 320d M Sport ซึ่งเหมาะมากกับขนาดของสนามที่เซ็ทให้เป็นแบบ Mini Circuit เพราะเจ้านี่สามารถแสดงความปราดเปรียวออกมาให้สัมผัสอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เรื่องของความเฉียบคมในการควบคุม ตามด้วยระบบช่วงล่างที่มีเสถียรภาพ ช่วยเพิ่มความกระชับ และความมั่นใจในการกดคันเร่งเพื่อเค้นพละกำลังแบบเต็มประสิทธิภาพ จากโหมด D แต่ถ้าอยากได้ความมันส์เพิ่มขึ้นอีกนิด Paddle Shift ที่หลังจากมาลัย คือ กุญแจดอกสำคัญที่ทำให้การซิ่ง 320d M Sport สะใจมากขึ้นอย่างที่เราทำ
ส่วนบทสรุปของทั้ง 2 คัน บนสนามแห่งนี้พูดง่ายๆ ก็คือ ด้วยขุมพลังเดียวกัน 3-Series สื่อสารความมันส์ออกมาได้แบบเต็มๆ ในขณะที่ 5-Series ที่ตัวใหญ่กว่านั้นจากสัมผัสด้านพละกำลังก็ไม่ใช่จะได้เปรียบ เสียเปรียบกันมากเท่าไหร่ เว้นแต่ในเรื่องของการเข้าโค้งแคบๆ ที่ 5-Series อาจจะไปได้แบบไม่เต็มคันเร่งมากนัก เพราะด้วยน้ำหนัก และขนาด
คิวต่อมาเป็นสปอร์ตเปิดประทุนสุดหล่ออย่าง BMW 430i Convertible M Sport เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พ่วงตัวช่วย BMW TwinPower Turbo 252 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตันเมตร กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด ซึ่งด้วยขนาดลำตัวที่ไม่ต่างอะไรกับ 3-Series แน่นอนว่าความกระชับ เฉียบคม คือ ต้นทุนที่ดี
และจะดีขึ้นเมื่อจับคู่กับโหมด Sport รวมไปถึงลากรอบสูง, การ Shift เกียร์เองทั้งขึ้น และลงให้เหมาะสมกับความเร็วที่ใช้ แม้ไม่มี Paddle Shift หลังพวงมาลัย แต่การปรับเปลี่ยนเกียร์ด้วยคันเกียร์ ก็ได้อารมณ์ของรถสไตล์เกียร์ธรรมดาไปอีกแบบ และทั้งหมด คือ เงื่อนไขที่ทำให้เกิดความ “สนุก” ได้อย่างเต็มอรรถรสในการขับขี่ เช่นกัน
BMW 630d GT M Sport คือ พาหนะลำดับ 4 ที่ผมเลือก เนื่องจากหลายเสียงบอกว่า “ดื้อ” ซึ่งจะจริงหรือไม่ทางเดียวที่จะรู้ได้ คือ “ลอง” และผลสรุปที่ได้ออกมาก็คือ “ชอบ” ในภาพรวม ตั้งแต่ทัศนวิสัยที่ค่อนสูงมองเห็นได้ชัดเจน การบังคับควบคุมยังเป็นสไตล์ของ BMW ที่โดดเด่น
ตามด้วยขุมพลังดีเซล 6 สูบ BMW TwinPower Turbo ที่ส่งกำลัง 265 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 620 นิวตันเมตร ออกมาให้ใช้ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic ที่ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้จาก Paddle Shift หลังพวงมาลัย ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดบุคคลิกอันปราดเปรียวให้กับเรือนร่างขนาดใหญ่ในการลองขับบนสนาม จากการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมกับระดับความเร็ว เพื่อส่งเจ้ายักษ์คันนี้แหวกอากาศด้านหน้าออกไปโค้งแล้ว โค้งเล่า
สุดท้ายใน 5 อันดับของเรา คือ BMW X2 sDrive20i M Sport X น้องใหม่ในสารบบที่มีรูปลักษณ์เตะตา ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ BMW TwinPower Turbo 192 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 280 นิวตัวเมตร
โดยมีเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic คลัตช์คู่ 7 สปีดส่งกำลัง ส่วนอารมณ์ในการขับขี่นั้นต้องบอกก่อนเลยว่าเป็นอีกหนึ่งรถอนเกประสงค์ SAC-Sports Activity Coup ที่มี “สมรรถนะ” ไม่เบาทีเดียว ซึ่งเมื่อรวมกับความสะดุดตาของรูปลักษณ์ และโทนสี เข้าไปกับอารมณ์การขับขี่ในสไตล์ของแบรนด์ BMW ด้วยล่ะก็
ยิ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้ X2 กลายเป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมที่มีโดดเด่นไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อลองนึกภาพการใช้รถในชีวิตประจำวัน ฉะนั้นบอกได้เลยว่านี่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ถ้าหากสาวก Bimmer หรือใครจะอยากได้รถอเนกประสงค์เท่ห์ๆ ซักคันไว้ใช้งาน
ปิดงานด้วยฝันที่เป็นจริง “ซิ่ง” เต็มฝีเท้ากับ M2 และ M4
BMW M2 Coupe น้องคนสุดท้องของสายพันธ์โหดที่ซุกซ่อนความ “ดุร้าย” ไว้ภายใต้เปลือกนอกของแบรนด์ BMW ที่เค้าบอกมาว่าเจ้านี่มันเป็นเพียงยนตรกรรมที่ “ดูเหมือน BMW” แต่ความจริง คือ “ไม่มีอะไรที่เป็น BMW ปกติ” ที่พบเจอกันทั่วไปแม้แต่น้อย เพราะนี่คือผลงานจากแผนก M-Division ผู้ผลิตสายพันธ์โหดแปะโลโก้ M เท่านั้น
เพราะฉะนั้นตั้งแต่จุดเริ่มต้น จนถึงจุดจบ เพื่อออกมาเป็น M2 คือ สิ่งที่ผ่านการคำนวนมาโดยเฉพาะ เพื่อรองรับพละกำลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ พ่วงระบบอัดอากาศ BMW M TwinPower Turbo และพกกำลังสูงสุด มาให้ใช้ที่ 370 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 465 นิวตัวเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ M แบบคลัตช์คู่ 7 สปีดสู่ล้อหลัง
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมไฟเตือน Traction Control จึงกระพริบเตือนเราเป็นการต้อนรับทันที เมื่อจุ่มเท้าขวากดคันเร่งในจังหวะออกตัว พร้อมเสียงหวานๆ ของรอบเครื่องยนต์ที่ฟาดขึ้นไปตามน้ำหนักเท้า และอย่าถามว่ากวาดไปได้ถึงกี่พันรอบ เพราะด้วยความสั้นของแทรค และการออกตัวที่ดุดัน รวดเร็ว ซึ่งแปบเดียวก็ทะยานมาถึงจุดเบรก จุดเลี้ยว คุณคิดว่าผมจะมีเวลาชำเลืองดูได้มากน้อยแค่ไหน
ผมรู้สึก “ขาดทุน” เล็กๆ ในการขับ M2 เพราะภายใต้ “กติกา” เดียวกันกับการขับ 5 รุ่นข้างต้น แต่ระยะเวลาต่อรอบเมื่อเทียบกัน M2 ทำผมหมดรอบเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนี่ไม่แค่เพราะ คำคม “เวลาแห่งความสุข มักผ่านไปเร็วเสมอ” เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะ M2 นั้น “เร็ว” เกินไปเสมอ จนทำให้รู้สึก “ไม่อิ่มเอมเต็มที่” แม้จะภายใต้เงื่อนไขเดียวกันก็ตาม แต่ก็มากเกินพอสำหรับคนมีฝันจาก “หวด” M2 ซักครั้ง
ส่วนอีกฝันนั้น คือ พี่ใหญ่สาย M เช่นกัน กับ BMW M4 Coupe ที่มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร 6 สูบ BMW M TwinPower Turbo เช่นกัน แต่มีกำลังที่ขยับไปถึง 431 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ใช้เกียร์อัตโนมัติแบบคลัชท์คู่ M 7 สปีด ขับเคลื่อนล้อหลังเช่นกัน
ส่วน “สมรรถนะ” นั้นคงไม่ต้องบรรยายอะไรมาก เพราะคนรักรถสมรรถนะสูง คงรู้ดีถึงชื่อเสียงเรียงนาม ฉะนั้นเราจึงขอตอบสั้นๆ สำหรับการทดลองขับ BMW M2 และ M4 ในครั้งนี้ว่า “โคตรฟิน” ที่ BMW Thailand (บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย) มอบโอกาสดีๆ แบบนี้มาให้