รีวิว : Honda City Hatchback e:HEV … “สปอร์ต, ประหยัด, รักษ์โลก” มีครบ จบในคันเดียว (มี Clip)
หลังจากนำร่องด้วย Honda City e:HEV ในเวอร์ชั่น “Sedan” ไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อปีปลายที่ผ่านมา ในที่สุดก็ถึงเวลาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับไลน์อัพ “The City Series” ด้วยการส่ง Honda City Hatchback e:HEV เข้ามาเสริมทัพตัวเลือกให้กับผู้บริโภคชาวไทย และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เราสงสัยว่า “ความรู้สึกในการขับ” City e:HEV บนตัวถังแบบ Hatchback จะแตกต่างจากรูปลักษณ์แบบ Sedan ที่เราได้ลองในครั้งก่อนหรือไม่ … ? เพราะงั้นเราจึงไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อหมายเชิญทดลองขับถูกร่อนมาถึง
และด้วยสถานการณ์ที่ไม่ค่อยเป็นมิตรต่อการใช้ชีวิตใน “สังคม” นอกบ้าน ทำให้โปรแกรมการทดลองขับ ถูกปรับเหลือเพียง “ครึ่งวัน” ทำให้ “เวลา” ถึงเป็นทรัพยากรที่มีค่า และใช้งานอย่างประหยัด ประกอบกับการที่เราเคยผ่านมือมาแล้วกับรุ่นตัวถัง Sedan จึงทำให้การปรับตัวให้คุ้นชินทำได้ง่าย และรวดเร็ว … ส่วนหนึ่งเองก็ต้องยกความดีให้กับตัวรถที่มีการดีไซน์ และพัฒนาให้สามารถ “เข้าถึง ได้ง่าย ฉะนั้นมั่นใจได้เลยว่า ต่อให้ไม่เคยสัมผัสอรรถรสการขับ City e:HEV ไม่ว่าจะตัวถัง Sedan หรือ Hatchback มาก่อน คุณก็สามารถใช้งานได้ทันที
สำหรับ Honda City Hatchback e:HEV ยังคงทำตลาดเพียงหนึ่งเดียวในรุ่น คือ RS ซึ่งนั่นหมายถึงการมาพร้อมกับชุดแต่งสไตล์ RS เป็นอุปกรณ์มาตรฐานเช่นเดียวกับรุ่นตัวถัง Sedan และตามมาด้วยการใส่รายละเอียดความแตกต่างเพื่อแสดงฐานะของยนตรกรรม Hybird เบาๆ ด้วยกรอบสีฟ้า น้ำเงิน Brilliant Sporty Blue Metallic รอบโลโก้ H Mark พร้อมด้วยการแปะตราสัญลักษณ์ e:HEV มาให้ในด้านหลัง
ขณะที่ภายในห้องโดยสารก็ยังคงมากับอารมณ์ของตัวถังแบบ Hatchback ที่เสริมความสปอร์ตเข้าไปด้วยอารมณ์ของโทนสีดำเป็นหลัก ตัดสลับด้วยโทนสีแดงเพื่อสร้างความรู้สึกเร้าใจ ส่วนฟังค์ชั่นอำนวยความสะดวกสบายๆ ยังคงจัดมาให้แบบครบถ้วน แถมด้วยการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย เช่น หน้าจอแสดงผลที่โชว์การทำงานของระบบไฮบริดได้ ตลอดจนแป้น Paddle Shift หลังพวงมาลัย ที่ไม่ได้เอาไว้ปรับเปลี่ยนเกียร์ หากแต่เป็นระบบ Deceleration Selector ปรับระดับการชาร์จไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่ที่มีให้เลือกปรับได้ 3 ระดับ เมื่อชะลอความเร็ว หรือเบรก และใช้งาน ซึ่งข้อดีก็คือ นอกจากเรื่องการชาร์จไฟแล้ว ยังทำหน้าที่ช่วยหน่วงความเร็วเพื่อลดภาระให้กับระบบเบรกได้อีกด้วย
ขุมพลังพูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่าเป็นการยกเอาเครื่องยนต์จากรุ่นตัวถัง Sedan มายัดใส่ตัวถัง Hatchback และถ้าใครนึกไม่ออกเราจะย้ำเตือนให้ ว่านี่คือเทคโนโลยี Full Hybrid ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD (Multi-Mode Drive) ที่ใช้การทำงานของเครื่องยนต์เบนซินแบบ Atkinson Cycle ขนาด 1.5 ลิตร i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว ผสานเข้ากับการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ซึ่งจะแบ่งทำหน้าที่เป็น Generator ปั่นไฟ 1 ตัว และขับเคลื่อนรถอีก 1 ตัว ภายใต้การส่งกำลังโดยระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ E-CVT โดยมีจุดเด่นอยู่ที่พละกำลังแรงบิด 253 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 0 – 3,000 รอบต่อนาที แถมด้วยความ “ใจดี” จากความสามารถในการรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20 บวกกับอัตราสิ้นเปลืองซึ่งเคลมเอาไว้ที่ 27 กิโลเมตร/ลิตร และความรักษ์โลกจากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 86กรัม/กิโลเมตร
ส่วนในภาพรวมของการขับขี่ อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าด้วย “สถานการณ์” ทำให้ “เวลา” และ “แผน” ถูกปรับ ทำให้เราเลือกเส้นทางที่น่าจะตอบโจทย์ดี เพราะมีทั้งอารมณ์ของ “ในเมือง” และ “นอกเมือง” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “คำตอบ” ว่า City e:HEV รุ่นตัวถัง Hatchback ยังคงให้อรรถรสการขับขี่ที่ใกล้เคียงแทบไม่แตกต่างกับรุ่นตัวถัง Sedan แต่ได้เพิ่มมาซึ่งความ ”สปอร์ต” ตั้งแต่เรือนร่าง
ด้านฟิลลิ่งการขับขี่ยังคงมีความคล้าย “รถพิกัดใหญ่” เช่นกัน ว่ากันตั้งแต่ในส่วนของ “ช่วงล่าง” ที่น่าจะมีการปรับเซ็ทด้วยสูตรเดียวกับรุ่นตัวถัง Sedan เพื่อการรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จนเกิดเป็นอาการ “นุ่ม และแน่น” ทั้งยังส่งผลไปถึงเรื่องน้ำหนักของพวงมาลัยที่ทั้งในความเร็วต่ำ และความเร็วสูงที่ให้ความสปอร์ต และเฉียบคม ในสไตล์ที่ต่างออกไป กล่าวคือ City Hatchback e:HEV ให้ความรู้สึก “สบาย” และไม่ต้องใช้ “สมาธิ” ในการควบคุมมากมายนัก หากเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซินที่มีบุคลิกแนว “วัยรุ่น” ชัดเจน
รวมไปถึงเรื่องของ “สมรรถนะ” ด้วยเช่นกัน เพราะการเอาวิธีขับจากรุ่นเครื่องยนต์เบนซินมาใช้ แบบที่อยากได้ความเร้าใจเมื่อไหร่ก็ Kick Down คือ สิ่งที่ไม่ได้ตอบโจทย์อะไรมากไปกว่าการสร้างสุ้มเสียงที่แผดกร้าวอย่างฉับไว สวนทางกับความเร็วที่ไต่ระดับขึ้นอย่างมีเหตุผล ฉะนั้นการขับที่ได้ประสิทธิภาพที่สุด คงหนีไม่พ้นการกดคันเร่งไปตามความเหมาะสม เพื่อให้แรงบิดถ่ายอดออกมาอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพในการทำความเร็ว
แถมด้วยข้อดีอีกอย่างก็คือ ความปลอดภัย เนื่องจากการเร่งแซงแบบกระชั้นชิดได้กลายเป็นสิ่งไม่เหมาะไม่ควร จนแทบจะกลายเป็นข้อบังคับให้คุณกระทำการทุกอย่างใน “ระยะปลอดภัย” โดยไม่พยายามกระแทกคันเร่ง Kick Down บ่อยๆ จนกลายเป็นการสร้างภาระให้กับเครื่องยนต์ ตลอดจนคนขับเองก็ไม่ต้องมานั่งเครียด นั่งลุ้นอีกด้วยเช่นกัน แถมท้ายด้วยความประหยัดที่เราทำได้ถึงราว 25 กม./ลิตร จากที่เคลมตัวเลขเอาไว้ 27 กม./ลิตร เลยทีเดียว
[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=W2fYK-Ji1DE[/embedyt]
ราคารถใหม่
Honda City Hatchback e:HEV รุ่น RS ราคา 849,000 บาท
