รีวิว : Mercedes-Benz E 300e AMG Dynamic … สปอร์ตหรู รักษ์โลก ราคา 3,770,000 บาท
บางครั้งการทำอะไรเดิมๆ แบบที่คุ้นเคย คือ สิ่งที่ช่วยทำให้ชีวิตเราทุกๆ วันเป็นเรื่องง่าย แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เรา “มองข้าม” อะไรบางอย่าง จนกลายเป็น “อด” ได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ เช่นเดียวกับการใช้รถในชีวิตประจำวัน … และ Mercedes-Benz E 300e AMG Dynamic นี่แหละที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้เรา
E 300e AMG Dynamic … ภาพลักษณ์หนุ่มใหญ่ Mr. Nice Guy
ว่ากันด้วยฐานะของ E-Class โฉมปัจจุบันสไตล์ตัวถังแบบ Saloon 4 ประตู ที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทยนั้นจะมีให้เลือกเป็นเจ้าของกันอยู่ 4 รุ่นหลัก เริ่มจาก Entry Level ขุมพลังดีเซลเทอร์โบ เพียงหนึ่งเดียวกับรุ่นย่อย E 220 d Sport ขณะที่รุ่นอื่นจะมากับเครื่องยนต์รูปแบบ Plug-in Hybrid (PHEV) ในรหัสรุ่นย่อย E 300e ที่มีความแตกต่างกันไปในเรื่องของสไตล์ ไล่ตั้งแต่ Avantgarde, Exclusive และรุ่นท็อปสุดที่อยู่กับเรา คือ AMG Dynamic
โดยจะมากับหุ่นลงตัวที่ไม่ใหญ่โต และไม่เล็กน้อยเกินไป เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง ซึ่งในรุ่นย่อย AMG Dynamic เพิ่มอารมณ์ความเร้าใจมาให้ด้วยการตกแต่งสไตล์ AMG ที่ประกอบด้วย ชุดกันชนหน้า, ชุดกันชนหลัง และสเกิร์ตด้านข้าง กับดีไซน์จาก AMG ที่ลงตัวกับล้ออัลลอยด์ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ลวดลายแบบ 5 ก้านคู่ขนาด 19 นิ้วรัดด้วยยาง Runflat ขนาด 245/40 R19 ในด้านหน้า และขนาด 275/35 R19 ในด้านหลัง พร้อมด้วยความสะดุดตาในด้านหน้า ด้วยชุดคาลิปเปอร์เบรกประทับอักษร Mercedes-Benz
และจากความเป็น AMG ที่ผสมผสานอยู่บนเรือนร่าง Saloon นี้เอง คือ สิ่งที่ทำให้เกิดภาพรวมลงตัว และโดดเด่นสะดุดตาราวๆ กับเป็นการดีไซน์เพื่อตอบโจทย์สไตล์ผู้บริหารยุคใหม่ ที่มักจะเลือกใส่กางเกง “ยีนส์” เท่ห์ๆ สลับควบคู่ไปกับ “สแลค” ในแต่ละวัน … จนทำให้เรารู้สึกได้ว่า E 300e AMG เป็นรถที่หยิบใช้ทั้งในวันทำงาน หรือวันพักผ่อน ได้อย่างไม่เคอะเขิน
ออพชั่นสำหรับฐานะรุ่นท็อปคงไม่ต้องพูดเยอะให้เจ็บคอ เพราะเค้าจัดมาให้แน่นๆ เช่น ไฟหน้าแบบ Multibeam LED พร้อมระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ALS- Active Light System), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS-Active Light System), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (Cornering Light) และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) เสริมทัศนวิสัยในการขับขี่มากขึ้นด้วยชุดไฟ Daytime แบบ LED Fibre-Optic, ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง, ไฟเบรก และชุดไฟท้ายแบบ LED ทั้งหมด เติมความหล่อในด้านหลังด้วยปลายท่อไอเสียโครเมียมคู่
ภายในห้องโดยสารมีงานดีไซน์ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความหรูหราจากการเลือกใช้วัสดุหนัง Nappa และความสปอร์ต เช่น เบาะนั่งปรับไฟฟ้าที่กระชับลำตัวด้วยรูปทรงสปอร์ต, พวงมาลัยวงอวบที่มือกระชับได้ถนัด ตลอดจนชุดแป้นคันเร่ง และแป้นเบรกแบบสปอร์ต ที่สอดแทรกรายละเอียดการตกแต่งด้วยลวดลายแบบ Metal Weave
ส่วนออพชั่นมาตรฐานยังคงจัดเต็ม เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ Thermotronic แบบ 3-Zone, ชุดควบคุมมัลติฟังค์ชั่นบนก้านพวงมาลัย, หลังคาแบบ Electric Panoramic Sliding Glass Sunroof แล้วก็สิ่งที่เราชอบที่สุดอย่างชุดหน้าจอบนคอนโซลหน้า ที่รวมเอาทั้งหน้าจอแสดงผลการขับขี่แบบ Digital Widescreen Cockpit และหน้าจอ Infotainment ขนาด 12.3 นิ้ว เรียงยาวต่อเนื่องไว้ภายในกรอบเดียวกัน ทำให้รู้สึกถึงความล้ำสมัย และสร้างจุดเด่นน่าสนใจให้กับในห้องโดยสารได้ดีทีเดียว ขณะที่การควบคุมนั้นก็ทำได้อย่างง่ายดายทั้งจากปุ่มมัลติฟังค์ชั่นบนก้านพวงมาลัย หรือ Touchpad บนคอนโซลกลาง
ใช้งานไม่ยาก แค่ต้องปรับ เพื่อรับความเป็น “ไฮบริด”
และอย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า E 300e คือ ตัวช่วยในการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้เรา ด้วยการขับเคลื่อนในรูปแบบ Plug-in Hybrid (PHEV) ที่ต้องเสียบปลั๊กชาร์จ โดยมีขุมพลัง 2 ส่วนเป็นแรงผลักดัน คือ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พ่วงเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ พละกำลัง 211 แรงม้า และแรงิบด 350 นิวตันเมตร ร่วมมือกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้กำลังจากแบตเตอรี่รุ่นใหม่ความจุ 13.5 กิโลวัตต์/ชม. ที่ให้กำลังขับ 122 แรงม้า และแรงบิด 440 นิวตันเมตร
จนทำให้เกิดเรี่ยวแรงสูงสุด 320 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 9G – Tronic ที่เพิ่มความมันส์ได้ด้วยแป้นเปลี่ยนเกียร์ Gearshift Paddles หลังพวงมาลัย การันตีความเร้าใจด้วยตัวเลขอัตราเร่งเคลมจากโรงงาน 0-100 กม./ชม. ใน 5.7 วินาที และความเร็วสูงสุดคือ 250 กม./ชม. และสามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้สูงสุดได้ถึง 130 กม./ชม.
โดยหลังจากที่ลอง “เนียน” คันเร่งตั้งแต่จุดสตาร์ท จนกระทั่งพลังงานไฟฟ้าหมด ผลปรากฏว่าวิ่งทำระยะได้ประมาณ 30 – 40 กม. ขึ้นอยู่กับน้ำหนักเท้าว่าสามารถ “นุ่มนวล” กับเค้าได้แค่ไหน เพราะยิ่งใช้ความเร็วแน่นอนว่าพลังไฟฟ้าก็จะถูกใช้ออกไปมากขึ้น ซึ่งเราเองก็ถือว่าทำได้ไม่เลวทีเดียวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวกับการขับขี่ในเมือง ด้วยพื้นที่ และระยะทางจำกัด แม้ไปไม่ถึงที่เคลมคือ 130 กม./ชม. แต่ได้เพียงครึ่ง คือราวๆ 70-80 กม./ชม. โดยไม่ปลุกเครื่องยนต์ให้ตื่นจากการหลับใหลเป็นระยะทางได้ประมาณ 30 กิโลเมตรต้นๆ ก็ถือว่าดีใจมากแล้ว
ส่วนการชาร์จไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ขณะขับขี่ Regenerative Braking จะเกิดขึ้น ก็คือจากทั้งการเบรก และการยกคันเร่ง แล้วก็อย่างที่รู้ๆ กันว่ามันไม่สามารถชาร์จกลับได้มากพอๆ กับที่ใช้ออกไป นอกจากเสียบปลั๊ก ซึ่งการเสียบปลั๊กก็สามารถทำได้ทั้งเสียบตรงกับไฟบ้าน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขด้านความปลอดภัย หรือตัดปัญหาด้วยการจ่ายเงินเพิ่มอีกราวๆ 1 แสนบาท สำหรับติดตั้ง Wall Box เพื่อแลกกับความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน รวมถึงย่นระยะเวลาในการชาร์จ
ด้านอารมณ์การขับขี่ บอกเลยว่าเป็นอะไรที่ดีงาม โดยเฉพาะการกดคันเร่งให้มอเตอร์ไฟฟ้า และเครื่องยนต์ทำงานพร้อมกัน เพื่อสัมผัสแรงดึงแบบแน่นๆ ด้วยความสุภาพไร้การกระชากกระชั้นให้เสียจริต แต่เหลือเฟือสำหรับการสร้างความสนุก หรือเร่งแซง ขณะที่ฟังค์ชั่นปรับรูปแบบการขับขี่ Dymanic Select ก็สามารถเป็นตัวสั่งการได้ เช่น ในกรณีที่ปริมาณแบตเหลือเพียงพอ การใช้โหมด Eco หรือ Comfort หากเนียนคันเร่งดีๆ รับรองเครื่องยนต์หลับสบาย แต่ถ้าเปลี่ยนไปใช้โหมด Sport หรือ Sport+ ตัวเครื่องยนต์จะถูกปลุกขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อเตรียมพร้อมรับคำสั่งสร้างความเร้าใจแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถ “หวด” ได้เต็มที่ เพราะด้วยพื้นฐานของ E-Class ในฐานะยนตรกรรมสายหรู ที่แต่งองค์ทรงเครื่องให้ “เฟี้ยว” ไม่ได้หมายความว่าจะมีความสามารถเทียบเท่ายนตรกรรมที่กำเนิดมาเพื่อเน้นความสปอร์ต ฉะนั้นบางจังหวะมันจึงไม่ได้เอื้ออำนวยให้ “ซิ่ง” มากนัก เพราะเท่าที่ลองบอกเลยว่าเรารู้สึกดีกับการขับขี่แบบปกติสุข มากกว่าจะมุดซ้าย มุดขวา เนื่องจากด้วยเรี่ยวแรงที่จัดระบบการถ่ายทอดมาให้อย่างเหมาะสม ควบรวมกับช่วงล่างที่ดีงาม ทั้งความนุ่มแน่นในความเร็วต่ำ และเสถียรภาพที่ดีบนความเร็วสูง
คือ สิ่งที่ทำให้เจ้านี่เป็นรถ Saloon สำหรับครอบครัวที่ดีรุ่นหนึ่งทีเดียว เว้นแต่กับเรื่องของการใช้งานในชีวิตประจำวันที่เหล่าจุดชาร์จไฟตามสถานที่สาธารณะต่าง กลายเป็นอะไรที่ไม่ค่อยจะเอื้ออำนวยเท่าไหร่ เพราะบางแห่งก็ไม่พร้อมใช้ แถมบางแห่งก็อยู่ในจุดหายากชนิดที่ว่า ถ้าคุณไม่ได้ใช้รถ Plug-in Hybrid (PHEV) และไปในสถานที่คุ้นเคยทุกวี่ ทุกวัน จนจำได้ ก็คงมีบ้างที่เกิดความ “ท้อ” ในการตามหา หรือในการใช้งาน เหมือนที่ผมเจอ
ฉะนั้นถ้าพึ่งที่อื่นไม่ได้ก็พึ่งตัวเองเป็นหลัก ด้วยการชาร์จที่บ้านซะให้เต็ม แถมถ้าเดินทางต่อวันซักไม่เกิน 40 กม. และเนียนคันเร่งมากพอที่จะไม่ต้องปลุกเครื่องยนต์มาใช้งาน หรือ ถ้าซัก 2 วัน จะปลุกฝูงม้าเยอรมันขึ้นมายืดเส้น ยืดสาย ดื่มน้ำมันเบนซินให้ชุ่มคอซักที ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะท้ายที่สุดแล้ว คำนวณดีๆ มันก็ยังประหยัดได้แบบเนื้อๆ เน้นๆ จริงมั้ยครับ
ราคารถใหม่
Mercedes-Benz E 300e AMG Dynamic ราคา 3,770,000 บาท