รีวิว : Next-Gen Ford Everst … ยกระดับ จนแทบจะไม่เหลือ “ความเป็น PPV”
หลังจากจดๆ จ้องๆ มานาน ในที่สุด ฟอร์ด ประเทศไทย ก็เผยโฉมรถอเนกประสงค์รุ่นล่าสุด Next-Gen Ford Everst อย่างเป็นทางการ พร้อมการเชิญสื่อมวลชนเดินทางสู่จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อร่วมท้าพิสูจน์ทั้งสมรรถนะ และเทคโนโลยีสุดล้ำ ภายใต้แนวคิด Life is Yours to Master
โนโปรแกรมในครั้งนี้เริ่มต้นจากการเข้าห้องฟังบรรยายข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างละเอียด โดย มร. เอียน ฟอสตัน หัวหน้าวิศวกรแพลตฟอร์ม T6 ซึ่งโดยสรุปใน Next-Gen Ford Everst จะมากับทางเลือกให้เป็นเจ้าของทั้งหมด 4 รุ่นย่อย เริ่มต้นด้วยรุ่น Trend เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว ให้เรี่ยวแรง 170 แรงม้า และแรงบิด 405 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ราคา 1,334,000 บาท
ก่อนจะขยับมาที่รุ่น Sport เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว ให้เรี่ยวแรง 170 แรงม้า และแรงบิด 405 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 2 ล้อ ผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เช่นกัน แต่มีความต่างเรื่องออพชั่น ซึ่งทำให้ราคาขยับขึ้นไปที่ 1,464,000 บาท
ส่วนรุ่นท็อปสุดจะเป็น Titanium+ เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 210 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร โดยแบ่งเป็นเวอร์ชั่นขับเคลื่อน 2 ล้อ จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ SelectShift 10 สปีด มีค่าตัวอยู่ที่ 1,704,000 บาท ปิดท้ายด้วยพระเอกของการลองขับในครั้งนี้ ก็คือรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่มากับเกียร์อัตโนมัติ E-Shifter 10 สปีด ราคา 1,854,000 บาท
สำหรับในส่วนของการทดลองขับ จะมีทั้งในส่วนของเส้นทางถนนปกติ และเส้นทางออฟโรด ให้ต้องผ่านอุปสรรคต่างๆ ซึ่งสัมผัสแรกที่ได้ลองขับบนถนนทางเรียบปกติ บอกเลยว่าระยะฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มม. คือ ความดีงามที่สร้างความมั่นใจได้อย่างเด่นเช่น ทั้งการการควบคุม และการทรงตัวที่ดี อีกทั้งยังมีการอัพเกรดระบบโช๊คอัพจากพื้นฐาน Twin-Tube ขึ้นใหม่ ประกอบกันจนทำให้ Next-Gen Everst เป็นรถอนเกประสงค์ PPV ที่แทบจะไม่หลงเหลือความเป็น PPV ให้สัมผัส หรือพูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่รู้มาก่อน แล้วหลอกว่านี่คือ SUV ก็คงมีหลายคนไม่น้อยที่ “หลงเชื่อ”
ด้วยอารมณ์โดยรวมที่เข้าถึงง่าย ควบคุมง่าย ให้ทัศนวิสัยที่ดี แถมยังมีเรี่ยวแรงในการตอบสนองแบบเหลือเฟือ ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างน่าประทับใจ ตลอดจนยกระดับความมั่นใจในการเดินทาง จากระบบความปลอดภัยสุดล้ำ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังค์ชั่น Stop and Go และระบบควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทาง
อีกส่วนที่น่าประทับใจเอามากๆ ก็คือ ช่วงระหว่างการลุยบนเส้นทางออฟโรด ซึ่งมี Drive Modes ให้เลือกปรับเปลี่ยนการขับขี่ตามสถานการณ์ เช่น “โหมดปกติ” สำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน, “โหมดประหยัด” ที่จะประเมินพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อปรับการทำงานของระบบส่งกำลัง และระบบควบคุมความเร็วให้เหมาะสม, “โหมดทางลื่น” ที่จะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ เกียร์ และระบบควบคุมการยึดเกาะถนน เพื่อช่วยโอกาสที่ล้อจะหมุนฟรี และป้องกันการลื่นไถล, “โหมดโคลน” ที่เพิ่มความมั่นใจ ด้วยระบบ Diff-Lock หลังไฟฟ้าที่ทำงานแบบอัตโนมัติ
โดยตัว Drive Modes จะทำงานร่วมกับขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Electronic Shift-on-the-Fly ที่สามารถเปลี่ยนจากขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็น 4 ล้อ (4H) ได้แบบไม่ต้องหยุดรถ ซึ่งนั่นแหละ คือ ความยอดเยี่ยมที่แท้จริง เพราะเราไม่ต้องมานั่งปรับเปลี่ยนที่ละอย่างอีกต่อไป เนื่องจากเมื่อเปลี่ยน Drive Modes ระบบขับเคลื่อนก็จะเปลี่ยนตามมาให้อัตโนมัติ
เช่น จาก “โหมดปกติ” ขับเคลื่อน 2 ล้อ เพียงบิด Drive Modes มาที่ “โหมดถนนลื่น” ระบบขับเคลื่อนจะถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบ 4 ล้อ (4H) ให้เลยทันที หรือถ้าเปลี่ยนไปถึง “โหมดโคลน” นอกจากจะเปลี่ยนเป็นแบบ 4 ล้อ (4H) อัตโนมัติแล้ว ยังแถม Diff-Lock หลังไฟฟ้า มาให้เลยอีกด้วย
เรียกได้ว่าทำให้การ “ลุย” กลายเป็นเรื่องง่ายสุดๆ เพราะเพียงแค่คนขับเปลี่ยน Drive Modes ให้เหมาะกับสถานการณ์ขับขี่ ตัวรถก็จะติดอาวุธให้เหมาะสมได้เองโดยอัตโนมัติ เว้นแต่เจอเส้นทางยากสุดๆ จนต้องเปลี่ยนมาให้โหมดขับเคลื่อน 4 ล้อความเร็วต่ำ (4L) เท่านั้น ที่คุณจะต้องหยุดรถ ใส่เกียร์ว่าง และกดปุ่ม 4L เช่น การลุยบ่อน้ำที่มีพื้นเบื้องล่างเป็นพื้นโคลน ซึ่งแถมด้วยการพิสูจน์ให้เห็นว่าลุยน้ำได้ลึกถึงราว 800 มม. พร้อมด้วยความมั่นใจที่มากขึ้นกับทัศนวิสัยโดยรอบผ่านกล้องมองรอบคัน 360 องศา
นอกจากการทดลองขับแล้ว อีก 2 Base ที่ถูกจัดเตรียมไว้ ก็คือ Comfort and Convenience ที่แสดงให้เห็นถึง ฟีเจอร์ อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ เช่น แอพพลิเคชั่น FordPass™, เบาะนั่งที่ปรับได้ตามการใช้งาน ตั้งแต่แถวที่ แบบ 60:40 และแถวที่ 3 แบบ 50:50 มาพร้อมฟังค์ชั่นการพับเบาะแบบไฟฟ้า ตลอดจน หน้าจอความละเอียดสูงแบบสัมผัสขนาด 10.1 ในรุ่นเริ่มต้น และ 12 นิ้ว ในรุ่นท็อป ที่สามารถเชื่อมต่อ และสั่งงานด้วยเสียง SYNC® 4A ซึ่งเป็นระบบล่าสุดของฟอร์ด
ขณะที่อีก Base คือ สถานี Smart Technology ที่บอกเลยว่าใครได้ลองก็ประทับใจ เพราะผู้บริโภคส่วนมากจะมีปัญหาการจอดกับรถอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ แต่ Next-Gen Everst ช่วยเปลี่ยนให้เป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจอดเทียบข้าง หรือถอยเข้าซอง จากการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียวเท่านั่น และระบบก็จะช่วยทั้งหมุนพวงมาลัย เปลี่ยนเกียร์ ไปจนถึงควบคุมคันเร่ง และเบรก ให้เข้าสู่ช่องจอดได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งยังมีระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ถอยรถได้มั่นใจยิ่งขึ้น จากการตรวจจับวัตถุบริเวณท้ายรถ และส่งเสียงเตือน ซึ่งหากผู้ขับขี่ตอบสนองได้ทัน ระบบก็จะทำการเบรกจนรถหยุดนิ่งให้โดยอัตโนมัติ เพื่อเตือนสติผู้ขับนั่นเอง
เรียกได้ว่า “เฉพาะตัวรถ” แบบไม่นับเรื่อง “แบรนด์” … เครื่องแน่น ครบครัน ขนาดนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Next-Gen Everst คือ รถอเนกประสงค์ PPV ที่น่าสนใจที่สุดในตลาดเมืองไทย แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นในความเป็นจริง เราคงต้องยกหน้าที่ตัดสินใจให้ผู้บริโภคเป็นหลัก ซึ่งเราอยากแนะนำอีกเล็กๆ น้อยๆ อีกว่าควรจะต้องไป “ลอง” ก่อน
ราคารถใหม่
Next-Gen Everst Trend 4×2 6AT ราคา 1,334,000 บาท
Next-Gen Everst Sport 4×2 6AT ราคา 1,464,000 บาท
Next-Gen Everst Titanium+ 4×2 10AT ราคา 1,704,000 บาท
Next-Gen Everst Titanium+ 4×4 10AT ราคา 1,854,000 บาท