รีวิว : All New Nissan Almera ผู้สร้างทฤษฏีใหม่ว่า “ถูกและดี” มีอยู่จริง
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ทำเซอร์ไพร์ผู้บริโภคชาวไทย ด้วยการเปิดตัว All New Nissan Almera อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สัมผัสเบาๆ ในค่ำคืนนั้น … จนทำเอาสื่อหลายคนตั้งตา “รอ” ที่จะได้ลองขับแบบจริงจัง ซึ่งและแล้ววันนั้นก็มาถึง
ทำความรู้จักแบบจริงจัง กับ All New Nissan Almera
จากสนามบินสุวรรณภูมิ เปิดวาร์ปเพียงอึดใจ เราก็มานั่งรับฟังข้อมูล “ของใหม่” ณ โรงแรม Pullman Phuket Arcadia Naithon Beach เป็นที่เรียบร้อย โดยว่ากันตั้งแต่ลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างจาก Almera เจนเนอเรชั่นที่แล้วอย่างสิ้นเชิง ด้วยมิติตัวถังที่มีการขยับขยายจากเจนเนอเรชั่นที่แล้ว
ประกอบด้วย ความยาวจาก 4,425 มม. เป็น 4,495 มม. ความกว้างจาก 1,695 มม. เป็น 1,740 มม. ความสูงจาก 1,500 มม. เป็น 1,460 มม. ปิดท้ายด้วยการเพิ่มความยาวฐานล้อจากเดิม 2,600 มม. เป็น 2,620 มม. ส่วนล้ออัลลอยด์ขนาดมาตรฐานที่จัดมา คือ 15 นิ้ว และเลือกใช้ยางหน้า 195/65 R15 เพื่อเพิ่มความกว้างมากขึ้นอีกราว 20 มม.
เรื่องของดีไซน์ดูปราดเปรียวมากขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยปรัชญาในการออกแบบที่เรียกว่า “Emotional Geometry” ผสมผสานกับเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ ชุดกระจังหน้าแบบ V-Motion, ชุดไฟหน้า และชุดไฟท้ายทรงบูมเมอแรง, แนวเสาหลังคาหลังที่ถูกยกขึ้น (Kick-Up C-pillars) และ หลังคาแบบลอยตัว (Floating roof)
โดยในรุ่นท็อปสุดที่เราได้ลองขับอย่าง VL จะมากับออพชั่นเสริมหล่อครบๆ เช่น กระจังหน้าโครเมี่ยมรมดำ, ชุดไฟหน้าแบบ LED พร้อม LED Signature Light และไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED รวมถึงไฟเลี้ยวบนกระจกมองข้าง, ไฟท้ายแบบ Signature Light และไฟเบรกแบบ LED รูปทรงบูมเมอแรง มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ภายในได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด และมาพร้อมกับไฮไลต์เด่นๆ เช่น พวงมาลัยทรง D-Shaped พร้อมระบบมัลติฟังค์ชั่น สำหรับควบคุมหน้าจอแสดงผลใหม่ ทั้งชุดมาตรวัดหน้าจอสีระบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ซึ่งรองรับฟังค์ชั่น Nissan Connect
ส่วนเบาะนั่งออกแบบมาให้นั่งได้อย่างสบาย และรองรับกับสรีระ โดยฝั่งคนขับสามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้ ขณะที่ตัวพวงมาลัยเองก็สามารถปรับได้ถึง 4 ทิศทาง ติดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือ ส่วนของเข็มขัดนิรภัย ถ้าสามารถปรับระดับสูง-ต่ำได้น่าจะดี นอกจากนี้เบาะนั่งด้านหลังยังเพิ่มเพิ่มความยาวขึ้นอีก 42 มม. ที่น่าจะรองรับผู้โดยสาร 3 ตำแหน่งได้อย่างสบายๆ ไม่อึดอัด
เครื่องยนต์มากับรหัสใหม่ล่าสุด HRA0 ที่ยังคงใช้พื้นฐานเดิมแบบ 3 สูบ DOHC และทำการลดพิกัดลงจากเจนเนอเรชั่นที่แล้วเหลือ 1.0 ลิตร แต่เสริมกำลังด้วยระบบอัดอากาศ Turbocharger ที่สามารถทำกำลังสูงสุดได้ถึง 100 แรงม้าที่ 5,000 รอบต่อนาที และมีแรงบิดที่สูงถึง 152 นิวตันเมตร ตั้งแต่รอบเครื่องที่ 2,400 ถึง 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังสู่ล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT พร้อมเทคโนโลยี D-Step Logic ที่ช่วยให้ส่งกำลังละเอียดยิ่งขึ้น
โดยตัวเครื่องยนต์ได้รับการพัฒนาขึ้นใหม่ เช่น ลูกสูบแบบ Delta Cylinder Head, หัวฉีดแบบ Central Injector และแน่นอนคือเรื่องของ Turbocharger ควบคุมไอเสียด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีสารเคลือบบนกระบอกสูบแบบ Mirror Bore Coating แบบเดียวกับที่ใช้ใน Nissan GT-R ทั้งยังติดตั้งระบบ Idling Stop มาให้เพื่อยกระดับอัตราการประหยัด ซึ่งตัวเลขโรงงานเคลมเอาไว้ที่ 23.3 กม/ลิตร ส่วนในการขับขี่จริงจะเป็นไงเดี๋ยวได้รู้กัน
เริ่มต้นภารกิจ 251 กม. กับเส้นทาง “ล่อง” ภูเก็ต
สัมผัสหลังจากทำหน้าที่พลขับ บอกเลยว่าผลงานครั้งนี้ไม่ธรรมดาทีเดียว สำหรับเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Almera โดยเฉพาะเมื่อได้ทดลองขับในเส้นทางหลากหลายรูปแบบ โดยจุดเด่นก็คือ การถ่ายทอดพละกำลังที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง นุ่มนวล ซึ่งหากได้ลองขับจะรู้เลยว่าสมรรถนะ “เกินพอ” โดยเฉพาะแรงบิดที่มีให้ใช้แบบสามารถเรียกใช้ได้ทุกครั้งเมื่อต้องการ ฉะนั้นไม่ต้องห่วงทั้งการ “ขึ้นทางชัน” หรือแม้กระทั่ง “เร่งแซง” ทั้งๆ ที่ขับขี่อยู่ในโหมดปกติก็ตาม
เนื่องจากสารภาพตามตรงว่า หาปุ่มเปลี่ยนโหมดเป็นสปอร์ตไม่เจอในช่วงแรก เพราะดีไซน์เนอร์เค้าออกแบบมาอย่างแนบเนียน ติดตั้งในตำแหน่งด้านหลังคันเกียร์ บริเวณใต้หัวเกียร์ ซึ่งเวลาใช้งานมันออกจะรู้สึก “ฝืน” ความเคยชินไปซักนิด แถมไม่มีสัญลักษณ์อะไรให้สังเกตนอกจาก “ขีดสีขาว” เล็กๆ เส้นเดียว แต่การหาโหมดสปอร์ตไม่เจอกลับกลายเป็นเรื่องดี ที่ทำให้ได้รู้ถึง “สมรรถนะ” ที่พูดได้ว่า “เหลือๆ” เลยสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ระบบช่วงล่างด้านหน้า เป็นแบบ อิสระ แม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังเป็นแบบ ทอร์ชัน บีม พร้อมเหล็กกันโคลง ที่มีการปรับเซ็ทใหม่ในเรื่องของค่าสปริงให้ขึ้นไปอยู่ในระดับรถเครื่องยนต์พิกัด 1.5 ลิตร รวมถึงระบบเบรกด้วยเช่นกัน เพื่อให้รับกับขีดความสามารถที่เพิ่มขึ้น
ผลลัพธ์ก็คือความนุ่มหนึบซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี แถมด้วยการทรงตัวที่เยี่ยมยอดทั้งบนความเร็วสูง และในทางโค้งที่เราลองมาแล้วทั้งการเข้าแบบเนียนๆ และแบบหนักๆ จนยางร้องลั่นถนน ขณะที่ระบบเบรกนั้นไว้ใจได้เลย ส่วนใครที่กังวลเรื่องการเดินเบาไม่เรียบ ตามสไตล์เครื่องยนต์ 3 สูบ บอกได้เลยว่ามันยังคง “มีอยู่” แต่ในอัตราที่ “น้อยมาก” ให้รู้สึกบางๆ แต่หากเมื่อเทียบกับภาพรวมของสมรรถนะการขับขี่ ถือได้ว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลืองจากสถานการณ์ที่ต้องขับเป็นขบวนหลวมๆ ฉะนั้นความเร็วที่ใช้จึงมีตั้งแต่ความเร็วต่ำๆ, ความเร็วเดินทาง ไปจนถึงความเร็วสูงระดับ 140-150 กม./ชม. ซึ่งนั่นมากพอแล้วสำหรับใช้งานปกติ โดยสิ่งที่ได้ก็ไม่ถึงกับขี้ริ้ว ขี้เหร่ ด้วยตัวเลขจากบนหน้าจอแสดงผลที่แจ้งไว้ราวๆ 20-21 กม./ลิตร เลยทีเดียว
เทคโนโลยีสุดล้ำ “จุดเด่น” ของ Almera ใหม่
หลังจากหมดรอบการทดลองขับเป็นที่เรียบร้อย เรื่อง “สมรรถนะ” ถือว่าน่าประทับใจมาก แต่นั่นยังไม่เท่ากับบรรดา “ออพชั่น” มาตรฐาน ซึ่งจัดมาให้แบบครบๆ โดยเฉพาะในเรื่องของเทคโนโลยี Nissan Intelligent Mobility และเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง Nissan Intelligent Safety Shield® ที่ทำให้การใช้ชีวิตในเมืองเป็นเรื่อง “ง่าย” ขึ้น ซึ่งประกอบด้วย
- เทคโนโลยีสัญญาณเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์ด้านหน้าขณะขับขี่อัจฉริยะ(Intelligent Forward Collision Warning – IFCW)
- เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ(Intelligent Emergency Braking – IEB)
- เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW)
- เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert – RCTA)
- เทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor – IAVM)ผ่านกล้อง 4 จุดรอบคัน ทำงานร่วมกับ เทคโนโลยีตรวจจับ และส่งสัญญาณเตือนวัตถุ หรือบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน Moving Object Detection (MOD)
- เทคโนโลยีควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control – VDC)
- เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA)
รวมถึงอุปกรณ์มาตรฐานทั้งในเชิงการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และระบบลดความรุนแรง หรือความเสียหายจากอุบัติเหตุ (Passive Safety) เช่น
- โครงสร้างตัวถังเป็นแบบ Zone Body Concept
- ถุงลมนิรภัย SRS 6 ตำแหน่ง ทุกรุ่น โดยมีรุ่นท็อป VL ที่เพิ่มถุงลมนิรภัยด้านข้าง (Side Airbags) และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง (Curtain Airbags) มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
- เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าเป็นแบบ ELR 3 จุด แบบดึงกลับอัตโนมัติ และผ่อนแรงอัตโนมัติ ด้านหลังเป็นแบบ ELR 3 จุดทั้ง 3 ตำแหน่ง เสริมด้วยจุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX และระบบป้องกันเด็กเปิดประตูจากภายในรถ
- ระบบเบรกหน้าเป็นแบบ ดิสค์เบรก พร้อมช่องระบายความร้อน และด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก
- ระบบเบรก ABS, ระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรก BA และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED
สรุปส่งท้าย สำหรับใครที่คิดย้ายจาก N/A สู่ Turbo
- สมรรถนะของ Almera ใหม่ เรียกได้ว่า “เกินคาด” และ “เพียงพอ” ต่อการใช้งานชีวิตประจำวัน แต่ถ้าอยากเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่บนความเร็วสูง และเสริมหล่อกว่านี้ ใส่ล้อ 15 นิ้วกับยางหน้ากว้างอีกนิด “จบ”
- ออพชั่นเพียบ โดยเฉพาะในเรื่องของระบบความปลอดภัย
- ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ซึ่งทาง Nissan ได้วิจัย และพัฒนาแล้วว่าเหมาะสมกับบุคลิกเครื่องยนต์ แถมดูแลง่าย และต้นทุนในการซ่อมบำรุงต่ำ
- ค่าใช้จ่ายในการเช็คระยะเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ทาง Nissan เคลมว่าในวารันตีมีโปรโมชั่นที่ทำให้ราคาใกล้เคียงกับ Almera รุ่นที่แล้ว แต่กรณีหมดวารันตีราคาก็ไม่ได้โดดหนีจาก Almera รุ่นที่แล้วมากไปนัก
- น้ำมันเครื่องควรเลือกใช้สังเคราะห์แท้ ส่วนเกรดแนะนำให้เป็นตัวหลัง 20 และเปลี่ยนทุก 7,000 กม. หรือพูดง่ายๆ ว่า ตามวารันตีในกรณีเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ แต่ถ้าหมดวารันตี และมีเงินเปลี่ยนไปใช้น้ำมันเบนซิน การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องสามารถยืดอายุไปถึง 10,000 กม. ได้
- น้ำมันเกียร์ไม่ได้มีระยะการเปลี่ยนถ่ายที่ตายตัว แต่ดูจากลักษณะการเปลี่ยนแปลงของ “สี” เป็นหลัก
- อัตราการบูสท์ของ Turbo แอบสืบเสาะมาว่าอยู่ราวๆ 1 บาร์
- สุดท้ายใครที่รอว่าเครื่องตัวนี้จะลงไปอยู่ใน Nissan Macrh ล่ะก็ … บอกเลยว่า “ไร้วี่แวว”
ราคารถใหม่ All New Nissan Almera
- Nissan Almera รุ่น S ราคา 499,000 บาท
- Nissan Almera รุ่น E ราคา 509,000 บาท
- Nissan Almera รุ่น EL ราคา 559,000 บาท
- Nissan Almera รุ่น V ราคา 599,000 บาท
- Nissan Almera รุ่น VL ราคา 639,000 บาท