“เซอร์ไพรส์” ใน … One Day Trip กับ BYD Seal
บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า BYD จัดงานใหญ่ ยกทัพสื่อมวลชนหลายชีวิต ร่วมพิสูจน์สมรรถนะ นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ล่าสุด BYD Seal แบบ One Day Trip เป็นครั้งแรก บนเส้นทางไปกลับ “กรุงเทพฯ – เขาใหญ่ – กรุงเทพฯ
ด้วยรถ BYD Seal ทั้งหมดกว่า 30 คัน ซึ่งเรียงรายอยู่เต็มลานจอดของร้านกาแฟชื่อดัง Davin Cafe ย่านเลียบด่วนรามอินทรา และทั้งหมดประกอบด้วย 3 รุ่นย่อยที่จะนำมาทำตลาดในเมืองไทย ประกอบด้วย Dynamic, Premium และ AWD Performance
ก่อนจะมุ่งหน้าไปอีกราวๆ 100 กม. เพื่อเข้าสู่จุดแวะพักแรก ที่จังหวัดสระบุรี ณ ร้านกาแฟ The Barnery จิบเครื่องดื่ม พร้อมสลับรุ่นรถ และไปต่อที่จุดหมายปลายทาง ร้านอาหารครัวกำปั่น ณ เขาใหญ่ เติมพลังให้เต็มที่ เพื่อรับมือกับโปรแกรมย่อย คือ การทดสอบสมรรถนะบนสนาม 8 สปีด กระทั่งแล้วเสร็จจึงสลับรุ่นรถ เพื่อเดินทางกลับสู่ Davin Cafe อีกครั้ง เป็นอันจบโปรแกรม
โดยสรุป One Day Trip เราได้สัมผัสครบทั้ง 3 รุ่น เล่าให้ฟังเรื่องของอารมณ์การขับล้วนๆ เริ่มต้นวันด้วย “คนกลาง” รุ่น Premium ที่มาพร้อมความจุแบตเตอรี่ 82.56 กิโลวัตต์/ชั่วโมง และระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor ที่มีกำลังสูงสุดราว 313 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 360 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ใน 5.9 วินาที และทำระยะทางวิ่งสูงสุด 650 กิโลเมตร
ในภาพรวมการขับ เรียกว่าเหมือนกับยังขาดๆ เกินๆ ไปนิด ซึ่งคาดเดาว่าอาจเป็นเพราะ “น้ำหนัก” ตัวรถที่ 2,055 กิโลกรัม ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยลงตัวกับการปรับเซ็ทช่วงล่าง เนื่องจากทั้ง “ขนาดของแบตเตอรี่” และ “ล้ออัลลอยด์ที่ให้มาเป็นขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/45 R19
แต่กลับกัน หลังจากสลับรุ่นรถมาเป็น “น้องเล็กสุด” รุ่น Dynamic ที่แม้จะมีพื้นฐานหลักๆ เหมือนกัน คือ ขับเคลื่อนล้อหลัง โดยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor แต่กำลังสูงสุดปรับลดลงมาเป็น 204 แรงม้า พร้อมแรงบิด 310 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ใน 7.5 วินาที และทำระยะทางวิ่งสูงสุด 510 กิโลเมตร จากแบตเตอรี่ที่มีความจุลดลงมาเหลือ 61.44 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ทั้งยังมีในเรื่องของ ล้ออัลลอยด์ ที่ลดขนาดลงมาเหลือ 18 นิ้ว พร้อมยาง 225/50 R18
ซึ่งทั้งหมดทำให้ BYD Seal รุ่น Dynamic มีน้ำหนักตัวรถโดยรวมเหลือเพียง 1,922 กิโลกรัม และน่าจะค่อนข้างลงตัวกับการปรับเซ็ทช่วงล่าง จึงทำให้ภาพรวมของการขับ “ดี” เกินคาด หากใช้งานในแบบทั่วๆ ไป ซึ่งไม่ได้เน้นอารมณ์สปอร์ต แต่เน้นความนุ่มนวล นั่งสบายในการขับขี่ และการโดยสารเป็นหลัก
ท้ายสุดเราจบงานด้วย “พี่ใหญ่” ของแรงสุดรุ่น AWD Performance ขนาดความจุแบตเตอรี่ 82.56 กิโลวัตต์/ชั่วโมง แต่เร้าใจกว่าด้วยการขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้าแบบ Asynchronous Motor มีกำลัง 160 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 310 นิวตันเมตร และคู่หลังแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor เสริมกำลังอีก 230 กิโลวัตต์ พร้อมแรงบิด 360 นิวตันเมตร
รวมแล้วดุเดือดจนน่าตกใจ ด้วยตัวเลข 390 กิโลวัตต์ หรือราวๆ 531 แรงม้า กับแรงบิด 670 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่งเดือดๆ คือ 0 – 100 กม./ชม. ได้ใน 3.8 วินาที แต่ก็ต้องแลกมาด้วย ระยะทางวิ่งสูงสุดที่สั้นลงมาจาก “คนกลาง” (650 กิโลเมตร) คือ 580 กิโลเมตร
และที่เซอร์ไพรส์ก็คือ น้ำหนักตัวรถ 2,185 กิโลกรัม ที่มากับล้ออัลลอยด์ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/45 R19 ให้อารมณ์การขับที่ลงตัวกับช่วงล่างแบบยอดเยี่ยม ให้อารมณ์ค่อนไปในทางยนตรกรรมจากฝั่งยุโรป ที่หนักแน่น นุ่มหนึบ ในสไตล์สปอร์ต
ซึ่งหลังจากคาดเดาไปต่างๆ นาๆ ท้ายสุดทาง BYD ก็เฉลยออกมาว่า ในส่วนของช่วงล่างของรุ่น AWD Performance จะมีการปรับเซ็ทใหม่ เพื่อรองรับ “ส่วนต่าง” ทั้งในเรื่องของ “น้ำหนัก” และ “สมรรถนะ” ที่มากกว่า รุ่น Dynamic และรุ่น Premium ที่ใช้พื้นฐานเหมือนกัน
ฉะนั้นบอกเลยว่า ถ้าเป็นผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่รุ่นสูงสุดอย่าง AWD Performance ถูกใจแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของอัตราเร่งที่เราอยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสเอง แต่ถ้าเน้นใช้งานทั่วไป เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันล่ะก็ ตามความเห็นส่วนตัว และความชอบ เราขอยกนิ้วให้รุ่นเริ่มต้น Dynamic … ส่วนคนกลางอย่างรุ่น Premium ถ้าหาสูตรคำนวณได้ลงตัวกว่านี้ ทิศทางในอนาคตน่าจะได้ดี ฉะนั้นตอนนี้ขอ “ทด” ไว้ในใจก่อนแล้วกัน