ท้าสายฝน และลมหนาว กับ The all-new Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่) ผู้เล่นหน้าใหม่ใน “ตลาด PPV”
The all-new Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่) คือ น้องใหม่ล่าสุดในตลาด PPV เมืองไทย ที่มาพร้อมการการันตีถึงความ “เหนือชั้น” ด้วยหลากหลายองค์ประกอบด้านเทคโนโลยี เพื่อนำเสนอฐานะความเป็นรถอเนกประสงค์อัจฉริยะ รวมไปถึงเรื่องของ “สมรรถนะ” ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ทุกรูปแบบ ซึ่งจะ “จริง หรือ ไม่” ทางเดียวที่จะรู้ได้ คือ ต้อง “ลองขับ” … และนั่นคือ สิ่งที่ทำให้เราตอบรับคำเชิญจาก นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย เพื่อลัดฟ้าสู่ จังหวัดเชียงราย ท้าทายสายฝน และลมหนาว
รู้จัก The all-new Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่)
สำหรับ นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ “Life Lives Outside” หรือ “รถยนต์อเนกประสงค์อัจฉริยะสำหรับครอบครัว” ในรูปแบบของยนตรกรรม 7 ที่นั่ง ภายใต้แนวคิด Nissan Intelligent Mobility (NIM) บนโครงสร้างตัวถังที่มีมิติ ความยาว 4,885 มม. ความกว้าง 1,865 มม. ความสูง 1,835 มม. วางตัวบนระยะฐานล้อยาว 2,850 มม. และความสูงใต้ท้องรถที่มีมาให้ถึง 225 มม.
ซึ่งมีความเพียบพร้อมด้วย “สมรรถนะ”, “ความปลอดภัย” และ “ฟังค์ชั่นล้ำสมัย” โดยทำตลาด้วย 3 รุ่นย่อยมาตรฐาน เริ่มต้นจากราคา 1,316,000 บาท ในรุ่น 2.3 V 2WD 7AT, 1,349,000 บาท ในรุ่น 2.3 VL 2WD 7AT และราคา 1,427,000 บาท สำหรับรุ่นท็อปสุด 2.3 VL 4WD 7AT
โดยในการทดลองขับครั้งนี้ทาง นิสสัน มอเตอร์ ประเทศไทย จัดมาให้ 2 รุ่นหลัก คือ รุ่น 2.3 VL 2WD 7AT ขับเคลื่อน 2 ล้อ และตัวท็อปสุด 2.3 VL 4WD 7AT ขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งรายละเอียดส่วนใหญ่มีความคล้ายกัน เช่น ด้านนอกที่เพิ่มความโดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ V-Motion, ชุดไฟหน้า LED ทรงบูมเมอแรง พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน Daytime Running Light, ไฟท้าย LED แบบ Light Guide และล้ออัลลอยด์ขนาด 18 นิ้ว
ในขณะที่ภายในนั้นเป็นสไตล์ของรถแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ซึ่งออกแบบให้ทุกตำแหน่งสามารถมองเห็นทัศนวิสัยด้านหน้าได้อย่างชัดเจน ส่วนเบาะนั่งคู่หน้ามากับการออกแบบที่เรียกว่า Zero Gravity เพื่อเอื้ออำนวยให้มีประสิทธิภาพในการขับขี่ ซึ่งถ้าจะให้ขออีกนิดนึงก็คงเป็นเรื่องของเบาะนั่งที่อย่างให้ปรับลงต่ำได้มากกว่านี้ เช่นเดียวกับระบบพวงมาลัยที่ควรปรับได้ 4 ทิศทาง เพื่อให้สามารถรองรับสรีระของผู้ขับขี่ได้กว้างมากขึ้น
ส่วนด้านหลังต้องขออภัย เพราะส่วนใหญ่รับหน้าที่เป็นพลขับ เลยไม่สบโอกาสให้ลองนั่งด้านหลัง แต่ที่ชอบมากๆ ก็คือ การพับเบาะนั่งแถวที่ 2 ซึ่งทำได้ง่ายดายด้วยระบบพับเบาะอัตโนมัติ (1-Touch Remote Fold and Tumble Seats) จากการกดเพียงปุ่มเดียวบริเวณคอนโซลเกียร์
รวมถึงการเพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ด้วยการติดตั้งฉนวนกันเสียงรบกวนรอบคัน, ผนังห้องโดยสารบุวัสดุซับเสียงหนา 3 ชั้น, พรมปูพื้นแบบที่เป็นฉนวนกันเสียง และดูดซับเสียง, กระจกหน้า Acoustic Glass ที่มีชั้นฟิล์มกันเสียงรบกวนหนากว่ากระจกลามิเนตทั่วไป ซึ่งทำให้รู้สึกได้เลยว่า “เงียบจริง” เมื่อใช้ความเร็วเดินทางแบบปกติทั่วไป
ล้ำหน้าเหนือใคร … ด้วย “เทคโนโลยีอัจฉริยะ”
นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ ในฐานะ PPV รุ่นล่าสุดในตลาด ถือว่ามีความ “โดดเด่น” เหนือคู่แข่งแท้จริงด้วยความล้ำสมัยของเทคโนโลยี Nissan Intelligent Mobility (NIM) ซึ่งประกอบด้วย เทคโนโลยีกระจกมองหลังอัจฉริยะ IRVM (Intelligent Rear View Mirror) หากในกรณีที่บรรทุกของจนมองกระจกหลังไม่เห็น ก็สามารถเปลี่ยนกระจกมองหลังปกติ ให้กลายเป็นกล้องมองหลังมุมกว้าง ได้ง่ายๆ เหมือนการปรับกระจกลดแสงสะท้อนทั่วไป เพื่อให้มองเห็นสภาพการจราจรด้านหลังได้อย่างชัดเจน
รวมไปเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง IAVM (Intelligent Around View Monitor) ที่ช่วยให้มองเห็นรอบตัวรถได้ทั่วทุกทิศทาง ด้วยภาพมุมสูงแบบ Bird’s-Eye View พร้อมเทคโนโลยีตรวจจับ และส่งสัญญาณเตือนวัตถุ รวมถึงบุคคลที่เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน MOD (Moving Object Detection) ซึ่งสามารถแจ้งเตือนได้ใน 3 สถานการณ์ คือ เมื่อรถจอดหรือหยุดนิ่ง เมื่อรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า หรือเมื่อเคลื่อนถอยหลัง
ต่อมากับเทคโนโลยีเตือนเมื่อมีวัตถุอยู่ในจุดอับสายตา IBSW (Blind Spot Warning) จะทำงานเมื่อพบว่ามียานพาหนะเข้าใกล้ตัวรถในบริเวณจุดอับสายตา และทำการแจ้งเตือนด้วยเสียง และสัญญาณไฟกะพริบที่กระจกมองข้าง เช่นเดียวกับเทคโนโลยีเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทางขับขี่ LDW (Lane Departure Warning) ที่จะแจ้งเตือนตั้งแต่ความเร็วมากกว่า 70 กม.
นอกจากนี้ก็มีเทคโนโลยีระบบเบรก B-LSD (Brake Limited Slip Differential) ที่ช่วยเพิ่มแรงเบรกเมื่อล้อลื่นไถล, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS (Traction Control System), ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist) พร้อมด้วยระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control), ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitoring System) และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VDC (Vehicle Dynamic Control) ตามด้วยการยกระดับความมั่นใจในขณะขับขี่ โดยเฉพาะในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อที่ “เจ๋งสุด” ด้วยมาตรวัดแสดงโหมดออฟโรด (Off-road Meter) ที่จะแสดงข้อมูลการขับขี่ในโหมดขับเคลื่อนต่างๆ รวมถึงบอกองศาความลาดเอียงของตัวรถ
ตลอดจนระบบความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน เช่น ดิสก์เบรกหน้า และดรัมเบรกหลัง ที่มาพร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบช่วยเบรก (BA) รวมถึงไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ (Push Start Button), กุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Intelligent Key) และระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer
ขุมพลังใหม่ ในการสร้าง PPV เปี่ยม “สมรรถนะ”
Nissan Terra ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลบล็อคใหม่ ในพิกัด 2.3 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบ Twin Turbo และ Intercooler ตลอดจนระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct Injection ซึ่งสร้างพละกำลังสูงสุดมาให้ใช้ที่ 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมโหมดขับขี่แบบ M mode
ส่วนระบบขับเคลื่อนมีให้เลือกทั้งแบบ 2 ล้อ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) พร้อมฟังค์ชั่น Shift-On-the-Fly ให้ผู้ขับสามารถเปลี่ยนโหมดการขับขี่จากขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) เป็นการขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) ได้ง่ายๆ รวมถึงมีโหมดการขับขี่แบบความเร็วต่ำ (4Lo) ให้เลือกใช้ สำหรับการขับขี่สไตล์สายลุย ซึ่งเค้าออกแบบมาอย่างเอื้ออำนวยด้วยความสูงใต้ท้องรถถึง 225 มม.
รวมไปถึงการเป็นยนตรกรรมในรูปแบบ Chassis on Frame พร้อมได้รับการพัฒนาเพิ่มความแข็งแกร่ง ด้วยช่วงล่างด้านหลังแบบคอยล์สปริง Five-link และเปลี่ยนไปใช้เพลาล้อหลังที่แข็งแกร่ง รวมถึงปรับเซ็ทให้เปี่ยมด้วยความสะดวกสบาย และความทนทาน
Mission Start ด้วย “ทางราบ” ก่อนพิชิต “ดอย”
สำหรับการทดลองขับในครั้งนี้ มีพาหนะเป็น “นิสสัน เทอร์ร่า” โดยแบ่งเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 5 คัน แปะหมายเลข 1-5 และที่เหลือ คือ รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ โดยมีเราประจำการอยู่ในรถหมายเลข 6 ซึ่งนั่นหมายถึงรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อนั่นเอง
ส่วนบททดสอบแรกนั้นจะเป็นการขับขี่แบบการใช้งานในชีวิตประจำวัน จากตัวเมืองเชียงราย ออกด้านนอกสู่เส้นทางที่คดเคี้ยวบนเขาที่มีทั้งขาขึ้น และขาลง บนเส้นทาง พระตำหนักดอยตุง, ดอยช้างมูบ, ดอยผาฮี้ และดอยผาหมี ซึ่งเรียกได้ว่าแทบไม่มีทางตรงให้ขับเลยทีเดียว
จุดเด่นของ “เทอร์ร่า” นับแต่นาทีแรกที่ได้ “กด” แบบเต็มคันเร่ง คือ การถ่ายทอดกำลัง ซึ่งขุมพลังบล็อคใหม่รหัส YS23DETT นั้นสร้างความประทับได้ดีด้วย “แรงบิด” ของเครื่องยนต์ที่มีให้ใช้อย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการส่งกำลังของชุดเกียร์อัตโนมัติที่ต่อเนื่อง และราบรื่นไม่มีสะดุดให้เสียอารมณ์ ทั้งยังรู้สึกได้ถึงการควบคุมความเร็วที่ “ง่าย” ขึ้น โดยเฉพาะในจังหวะที่เรียกว่า “กรอ” คันเร่ง เพื่อรอจังหวะ “กด”
ในขณะที่การควบคุม และสัมผัสจากช่วงล่าง นั้นเป็นอีกอารมณ์ที่อาจทำให้คุณคิดว่า “นี่ไม่ใช่รถ PPV” ซึ่งมีพื้นฐานมาจากรถปิคอัพ เนื่องจากเค้ามีความ “เนียน” มากกว่า ทั้งช่วงล่างที่นุ่มหนึบ และการควบคุมพวงมาลัยที่ดูมีลักษณะแบบรถอเนกประสงค์ SUV มากขึ้น ฉะนั้นพูดง่ายๆ คือ เค้า “เป็น PPV ที่ขยับเข้าไปใกล้เคียงกับรถ SUV” ก็ว่าได้
หลังจากผ่านพ้นทางหลวงหลัก ช่วงการขับขี่ในเมือง ก็ถึงคราวบทหนักกับการขับขี่ในเส้นทางสายรอง มุ่งกน้าพิชิตดอยต่างๆ ที่เต็มไปด้วยทางโค้งหลากหลายองศา และทางลาดชันหลากหลายระดับ ที่บางจุดต้องเปลี่ยนระบบส่งกำลังจากตำแหน่ง D ปกติไปใช้โหมด Manual เกียร์ 2
แต่ “เทอร์ร่า” ก็สามารถผ่านมันมาได้อย่างสบายๆ แบบไม่ต้อง “เค้น” ไม่ต้อง “ลุ้น” แม้บางช่วงของเส้นทางจะมีถนนที่เปียกลื่น เนื่องจากฝนฟ้าอากาศก็ตาม แค่ใช้คันเร่งให้ “เนียน” แถมในเส้นทางการทดสอบยังมอบความ “สนุก” ในการควบคุม และการใช้คันเร่งได้ตลอดเส้นทาง รวมไปถึงเรื่องของระบบเบรกที่ปรับเซ็ทมาได้อย่างลงตัว ซึ่งแทบจะไม่ต้องออกแรงมากก็สามารถเบรกได้อย่างนุ่มนวล
สถานี Off-Road ถูก “ยก” … โชคไม่ช่วยเพราะฝนกระหน่ำ
ตามโปรแกรมหลังจากทดลองขับ On-Road จะเป็นคิวของการขับขี่ Off-Road ซึ่งต้องโบกมือลาไปอย่างน่าเสียดาย เพราะสายฝน ทำให้ต้องมาลองขับในสถานีสำหรับรถขับเคลื่อน 2 ล้อแทน แต่ก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับเราที่เป็นรถขับเคลื่อน 2 ล้อ เพราะว่าบางจุดของสนามได้กลายเป็นโคลนไปแล้วเรียบร้อย
ทำให้ความ “เนียน” กับคันเร่งเป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ เคลื่อนตัวไปด้วยความเร็วต่ำๆ บนไลน์ที่ถูกต้อง และรอบเครื่องยนต์ที่ไม่สูงเกินไปนัก เพื่อป้องกันล้อหมุนฟรีจนกลายเป็นการ “ขุดหลุม” ซึ่งทุกคันที่เป็นรถขับเคลื่อน 2 ล้อนั้นก็สามารถผ่านไปได้อย่างสบายๆ
ส่วนในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น “ง่าย” ไปหมดทุกอย่าง เมื่อต้องวิ่งในสนามของรถขับเคลื่อน 2 ล้อ เพราะแค่ Shift-On-the-Fly จากขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) ไปสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (4H) ก็ผ่านไปได้แบบไม่มีปัญหาใดๆ รวมถึงการได้ลองระบบ Hill Descent Control ในจุดที่เป็นทางลงเนิน ซึ่งระบบจะช่วยเบรกให้โดยอัตโนมัติ ภายใต้ข้อแม้ว่าต้องไม่ทำอะไรนอกจากแค่ควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น
สรุปส่งท้าย หลังสัมผัส นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่ เป็นครั้งแรก
และสำหรับบทสรุปโดยรวมของ The all-new Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่) … แม้เราจะมีเวลา และระยะทางได้สัมผัสน้อยไปนิด ไหนจะโดนพิษสายฝนกระหน่ำซะจนไม่อาจได้ลองขับขี่แบบ Off-Road ก็ตาม แต่ที่สร้างความประทับใจไม่น้อยก็คือ “สมรรถนะ” การขับขี่ของรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อที่ “มากพอ” ทั้งกับการใช้งานในเมือง หรือแม้กระทั่งเดินทางสำหรับวันหยุดพักผ่อนกับครอบครัว แต่ถ้าอยากได้ความมั่นใจในการขับขี่ที่มากขึ้นทุกสภาพเส้นทางเราแนะนำให้โดดไปคบหารุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อดีกว่า
ส่วนรูปลักษณ์อันนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเป็นหลัก เพราะส่วนตัวดูเผินมันมีความคล้าย Nissan Navara ไปนิด จนรู้สึกว่าไม่ค่อยเตะตาเท่าไหร่ แม้จะใส่ลูกเล่น รายละเอียดต่างๆ เข้ามาเพื่อสร้างความต่างๆ แต่ก็น่าจะเพิ่มเติมในเรื่องของงานดีไซน์มาให้ เพื่อสร้างจุดเด่น และความน่าสนใจมากกว่านี้อีกซักหน่อย เราคิดว่าน่าจะช่วยเรียก “แขก” ได้ดี
ในขณะเดียวกันเรื่องของ “ออพชั่น” อันนี้บอกเลยว่า “เกินคาด” เพราะจัดหนัก จัดเต็ม ทั้งในเรื่องของการอำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เป็น “PPV น้องใหม่” ที่มาแรง แซงพี่ๆ ในตลาดเมืองไทยในเรื่องของความ “คุ้มค่า” ชนิดที่ว่าใครกำลังมองหารถอเนกประสงค์ PPV ซักคัน เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องของการใช้งานล่ะก็ ผมว่า The all-new Nissan Terra (นิสสัน เทอร์ร่า ใหม่) ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
ราคารถใหม่ The all-new Nissan Terra
The all-new Nissan Terra รุ่น 2.3 V 2WD 7AT ราคา 1,316,000 บาท
The all-new Nissan Terra รุ่น 2.3 VL 2WD 7AT ราคา1,349,000 บาท
The all-new Nissan Terra รุ่น 2.3 VL 4WD 7AT ราคา 1,427,000 บาท