รีวิว : First Date ลองขับ Toyota Hilux Revo Rocco 2.8 Double Cab ใหม่
เรียกเสียงฮือฮาโครมใหญ่ แม้อยู่ในสถานการณ์ไม่ปกตินักในช่วง โควิด-19 นี้กับกระแสตอบรับความสนใจการเปิดตัวผ่านโซเชียลมีเดียของรถที่ปรับปรุงใหม่อย่าง Toyota Hilux Revo และ Toyota Fortuner ใหม่ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยคล้อยหลังอีกเพียงอาทิตย์เดียว โตโยต้า มอเตอร์ประเทศไทย ได้จัดให้สื่อมวลชนได้ทดลองขับในรูปแบบสั้นๆ ในสนามปิด กับการขับขี่รูปแบบต่างๆ ทั้ง on road และ off road กับ Toyota Hilux Revo 2.8 Double Cab ใหม่
เดทแรกกับ กระบะยอดนิยม ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ ซึ่งครั้งนี้เป็นการ ทดลองขับ ในรุ่น Rocco ขับเคลื่อน 4 ล้อ 4 ประตู เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 204 แรงม้า ที่ถูกปรับเปลี่ยน และปรับจูนใหม่ บนสนามทดสอบ Toyota Driving Experience Park บางนา ซึ่งทางโตโยต้าได้จัดรูปแบบการทดสอบเอาไว้เป็นสถานีๆ เริ่มจาก
1. รูปแบบ On Road เพื่อทดสอบอัตราเร่ง การตอบสนองของพวงมาลัย ตัวรถ และช่วงล่าง
2. รูปแบบ Off Road เพื่อทดสอบสมรรถนะของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
3. เรียนรู้ข้อมูลของ T-connect
2. รูปแบบ Off Road เพื่อทดสอบสมรรถนะของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
3. เรียนรู้ข้อมูลของ T-connect
สำหรับการทดลองขับแบบกระชับๆ เป็น first drive กับ Toyota Hilux Revo ครั้งนี้จะขอเน้นไปที่รุ่นท้อปเท่านั้น ซึ่งก็คือ Hilux Revo Rocco ขับเคลื่อน 4 ล้อ Double Cab (4 ประตู) เนื่องจากทางโตโยต้าจัดเฉพาะรุ่นนี้ไว้ให้สื่อมวลชนได้ขับ ส่วนผู้อ่านท่านใด อยากทราบข้อคิดเห็นในรุ่นอื่น อาจจะดูบทความทดลองขับนี้เป็นตัวอย่างเพื่อเปรียบกับรุ่นอื่นๆ ก็ได้ เพราะ ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่มีเยอะถึง 40 รุ่นย่อยทีเดียว
บททดสอบสรุป Toyota Hilux Revo Rocco 2.8 Double Cab ใหม่
1. ดีไซน์ใหม่ จำพวกไฟหน้า ไฟท้าย สมรรถนะ จะมีเฉพาะในรุ่นที่เป็น ยกสูง เท่านั้น ถ้าเป็นรุ่นเตี้ย (มาตรฐาน) จะเป็นดีไซน์เดิม กระจังใหม่เน้นที่ความบึกบึนเป็นสำคัญ
2. สายเตี้ย ถึงจะได้ดีไซน์ใหม่ๆ น้อยกว่าเยอะ แต่โตโยต้าเค้าให้ จอทัชสกรีน และระบบ T-Connect มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่นล่างสุดเลย
3. ระบบ T-Connect ติดตั้งมาให้ทุกรุ่นย่อย พร้อมยังการันตีว่าให้ใช้เครือข่ายได้ฟรีถึง 7 ปี ส่วนเครือข่ายเป็นของค่ายไหน ณ จุดนี้ต้องไปสอบถามยังโชว์รูม
4. เข้าเรื่องรุ่น Rocco ซักที นอกจากดีไซน์รายละเอียดภายในไฟหน้าใหม่แล้ว เป็นแบบ Bi-Beam อีกจุดที่มีประโยชน์คือ “แง่ง” ตรงหน้าโคม ที่ช่วยสะท้อนไฟเลี้ยว ให้รถที่อยู่ตรงข้ามกับด้านที่เปิดไฟเลี้ยว มองเห็นว่ากำลังเปิดไฟเลี้ยวอยู่ ส่วนไฟท้ายก็ปรับงานดีไซน์ใหม่ ทันสมัยในแบบไฟ LED
5. มาตรวัดหน้าจอดีไซน์ใหม่ แพรวพราวขึ้น ได้ฟังก์ชั่นมากขึ้น แถมยังมีไฟ ambient light ที่แผงประตู ดูดีแบบรถหรูๆ
6. คานงัด หรืออุปกรณ์ช่วยผ่อนแรง เวลาเปิด-ปิด ฝาท้ายกระบะ ติดตั้งมาให้เฉพาะรุ่น Rocco มีประโยชน์จริงๆ เพราะหากไม่มีอุปกรณ์ตัวนี้มาให้ รับรองว่า แขนโตแน่ เวลาเปิดฝาท้าย และยังมีออปชั่น ไฟส่องสว่างในท้ายกระบะซึ่งติดไว้ตรงสปอร์ตบาร์ ส่วนสวิทช์อยู่ตรงข้างกระบะด้านในค่อนมาทางฝาท้าย
7. เครื่องยนต์ 1GD-FTV เจนฯ 2 ขนาด 2.8 ลิตรที่เคลมกำลังไว้ 204 แรงม้า กับแรงบิด 500 นิวตัน-เมตร หลักๆ ที่ปรับใหม่เช่น เปลี่ยนแกนเทอร์โบแบบบอลแบริ่ง, เปลี่ยนหัวฉีดใหม่เทคโนโลยี i-ART มีโปรแกรมเข้ามาช่วยมากขึ้น และเปลี่ยน บาลานซ์ชาฟท์ ใหม่เพื่อช่วยให้แรงสั่นสะเทือนน้อยลง
8. ช่วงล่างปรับเซ็ตเพื่อลดน้ำหนักของช่วงล่างลง แหนบ ใหม่ใช้วัสดุ High Tensile Steel ลดจำนวนแผ่นแหนบลง แต่ความสูงยังคงเดิม ปรับจุดยึดต่างๆ ใหม่ เซ็ตช็อคอัพใหม่
9. พวงมาลัย ให้ความรู้สึก หนักๆ เหมือนเดิม เพราะยังคงเป็นไฮดรอลิก แต่พอได้ระบบ Variable Flow Control เข้ามาช่วยแปรผันน้ำหนักตามความเร็ว จะรู้สึกชัดเจนขึ้น ว่าค่อยๆ ผ่อนแรงลง (ค่อยเบามือลง) เมื่อล้อมีการเคลื่อนที่ แต่ถ้าใครที่ชอบหมุนพวงมาลัยก่อนรถขยับ นั่นแหละจะเจอความหนักเป็นปกติของรีโว่
10. อย่างช่วงวอร์มมือ (หมายเลข1 ตามแผนผัง) เป็นการใช้ความเร็วต่ำมากราว 10 กม./ชม.ตรงนี้พวงมาลัยเบามือลงกว่าตอนหมุนเมื่อหยุดนิ่ง พอเข้าช่วงสลาลอม (หมายเลข2 ตามแผนผัง) ที่ความเร็วราว 60 กว่าๆ กม./ชม.การทรงตัว และการยึดเกาะ ช่วงล่างตอบสนองได้ดีกว่าเดิม การฟลิบ การบาลานซ์น้ำหนัก ทำได้ง่ายขึ้น
11. ช่วงเข้าทางตรง ได้กดคันเร่งเต็มเท้า (หมายเลข3 ตามแผนผัง) จนความเร็วขึ้นไปแตะ 100 กม./ชม. ยังอาจจับอาการของอัตราเร่งได้ไม่เท่าไหร่ อาจเพราะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ ในสนามทดสอบ
12. ช่วงโดดคอสะพาน ด้วยความเร็วประมาณ 30 กม./ชม. (หมายเลข4 ตามแผนผัง) รู้สึกชัดเจนว่าช่วงล่าง เก็บอาการได้ดีกว่าเดิมมากพอสมควร ไม่ดีดจนโดด ไม่มีแถมเพราะคงไม่มีคนใช้รถที่ชอบของแถมแบบนี้
13. จากนั้นพอเข้าช่วงทางขุรขระ (หมายเลข5 ตามแผนผัง) บอกได้ว่าเซ็ตช่วงล่างมาแบบ เก็บอาการสั่นสะเทือน เอาไว้ที่ช่วงล่างหมด แทบไม่รู้สึกสะท้านสะเทือนขึ้นมาถึงห้องโดยสาร (เป็นทั้งผู้ขับ และโดยสารด้านหลัง) เป็นความรู้สึกที่ ละมุน ขึ้นอย่างชัดเจน
14. ช่วง ออฟโรด ต้องชี้แจงก่อนว่า ระบบทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่มีการปรับเซ็ตการทำงานให้ ต่อเนื่อง ราบรื่นขึ้น จับความรู้สึกได้ตั้งแต่ ตอนเริ่มออกตัวพร้อมกับหักเลี้ยวก่อนขึ้นเนินชัน ด้วยโหมด 4L แล้วขับบนพื้นคอนกรีตแม้จะมีฝุ่นหินกรวดประปราย ถือว่าพื้นค่อนข้างฝืด แต่เมื่อขับขี่พร้อมหักเลี้ยวบนพื้นแบบนี้ กลับพบว่าอาการ พวงมาลัยขืนๆ แทบจะไม่รู้สึกเลย สมูธขึ้นมาก
15. ด้วยโหมด 4L ขับขึ้นเนินชัน ใช้คันเร่งส่งช่วยเบาๆ ก็ไต่ขึ้นได้ง่ายๆ แต่ที่ทำได้ดีขึ้นคือ ระบบ DAC ที่ช่วยคุมความเร็วตอนลงทางลาดชัน ทำงานได้ไว และนุ่มนวลกว่าเดิมอย่างชัดเจน ไม่ปล่อยให้ เสียว ในจังหวะที่หัวรถเริ่มตกลงมา
16. เข้าสู่ เนินสลับ ไม่ว่าจะระบบ TRC ป้องกันล้อหมุนฟรี และระบบอื่นๆ ทำงานได้อย่างนุ่มนวล ราบเรียบขึ้น อาการตึงตัง เวลาทำงานหายไปจนแทบไม่รู้สึก ช่วยให้ใครๆ ก็ขับออฟโรดได้ง่ายขึ้น ลดอาการเกร็ง
17. หน้าจอมาตรวัด ได้ฟังก์ชั่นแสดงทิศทางล้อ มาเป็นฟังก์ชั่นใหม่ สะดวกดีเวลาขับออฟโรด เพราะช่วยให้ วางไลน์ล้อ ได้ง่ายขึ้น
จากทั้งหมดที่พอจะอรรถาธิบายหลังจากสัมผัส และลองขับมาแล้ว สรุปแบบไม่เยิ่นเย้อมาก ก็ต้องบอกว่า การปรับครั้งนี้ถ้าไม่นับเรื่องดีไซน์ ถือว่าโตโยต้าใส่ใจเรื่องสมรรถนะไม่น้อยทีเดียว ปรับเซ็ตให้ช่วงล่าง เฟิร์ม ขับง่าย ตอบสนองดีขึ้น สัมพันธ์กับการทำงานของระบบต่างๆ ที่ สมูธ ขึ้น จนเป็นรถกระบะที่ขับแล้วรู้สึก ละมุน ขึ้นมากเขยิบเข้าใกล้รถหรูขึ้นไปอีก
ราคา ไฮลักซ์ รีโว่ ร็อคโค่ 2.8 ดับเบิ้ลแค็บ ขับเคลื่อน 4 ล้อ
1,239,000 บาท
1,239,000 บาท