รีวิว : ทดสอบ Toyota new Fortuner 2.8 Legender 4WD 2020 นั่งนุ่ม ขับสบายขึ้น..ส่วนออฟโรดก็พร้อมเปลี่ยนบุคลิกทันที
และแล้วก็ถึงเวลาที่ได้ไปทดสอบรถยนต์ขวัญใจมหาชนอย่าง Toyota new Fortuner 2020 ในรุ่น 2.8 Legender 4WD ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างได้รับการปรุงแต่งทั้งภายนอก ภายใน สมรรถนะ ให้กลมกล่อมขึ้น เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงในแบบ ไมเนอร์เชนจ์ โดยการทดสอบในครั้งนี้ ทางโตโยต้า มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้จัดรูปแบบการทดสอบให้สื่อมวลชนได้ขับขี่ทั้งในแบบ 0n-road และ Off-road ซึ่งจัดว่ามีความยากไม่ใช่น้อย
ก่อนจะไปสรุปให้ฟัง (อ่าน) กันว่า การทดสอบ ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ ครั้งนี้ มีความรู้สึกอย่างไร อยากจะเล่าก่อนว่า การไมเนอร์เชนจ์ ฟอร์จูนเนอร์ 2020 ครั้งนี้ ถือเป็นการปรับครั้งใหญ่ทีเดียว ซึ่งเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ภายนอกที่ปรับเปลี่ยนไปเยอะ ในเรื่องของดีไซน์ ส่วนภายในก็เช่นกันมีการปรับเปลี่ยนบ้างเพื่อให้สอดรับกับเทคโนโลยี และความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้า ที่สำคัญคือ สมรรถนะที่มีการปรับจูนในหลายๆ จุด ซึ่งเดี๋ยวจะสรุปให้ว่า หลังจากที่ได้ขับ และสัมผัสมาในช่วงสั้นๆ มีอะไรน่าสนใจบ้าง
การไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ของฟอร์จูนเนอร์ใหม่ จะขอโฟกัสไปที่รุ่นท้อปสุดของไลน์ที่วางจำหน่าย ในรุ่น Toyota new Fortuner 2.8 Legender 4WD บอกเลยว่าแม้จะเป็นรุ่นท้อปที่มีค่าตัวล้านปลายๆ แต่เชื่อไหมว่า ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายนเป็นต้นมา จนถึงตอนนี้ กวาดยอดจองไปแล้ว 3,784 คัน (ในไลน์ที่เป็น Legender นะ) ส่วนรุ่นฟอร์จูนเนอร์พื้นฐานมีประมาณ 3,043 คัน คงไม่ผิดอะไรที่จะบอกว่ายอดจอง ณ ตอนนี้ 6,827 คัน จะยังคงทำให้ฟอร์จูนเนอร์เป็นรถขวัญใจมหาชน
การทดสอบครั้งนี้เป็นแบบกรุ๊ปเทสต์ ที่ทางโตโยต้าได้ออกแบบให้เดินทางจาก ศูนย์ฝึกอบรมฯโตโยต้า (Toyota Driving Experience Park บางนา) ใช้เส้นทางด่วนบูรพาวิถี แล้วตัดเข้ามอเตอร์เวย์ จากนั้นใช้เส้นทางบ้านบึงที่มุ่งไป อ.แกลง เพื่อไป เขาอ่างแก้ว ลานร่มร่อน ซึ่งทางขึ้นไปยัง ลานร่มร่อนนั้น เป็นรูปแบบออฟโรดที่จัดว่า เอาเรื่องมากพอสมควร เนื่องจากก่อนหน้านั้นมีฝนลงมาทำให้เป็นดินโคลนที่ลื่น และทางชัน ราวๆ 4 กิโลเมตร ก่อนจะสิ้นสุดการทดสอบที่ รร.เรเนซองส์ พัทยา รวมระยะทางประมาณสองร้อยกว่ากิโลเมตร
สรุปการทดสอบครั้งแรกกับ Toyota Fortuner 2.8 Legender 4WD
1. เดิมทีใช้ชื่อ TRD Sportivo ทำตลาด พอปรับไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่นี้ มาพร้อมกับชื่อในท้อปไลน์เป็น Legender พร้อมราคาที่เพิ่มอีกราว 4 หมื่น รวมแล้วถ้าหากอยากสู่ขอต้องจ่าย 1,839,000 บาท
2. ตอนมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นไฟหน้าชุดใหม่แบบ Full LED Dual Projector มองเห็นดีไซน์ของไฟ Daytime Running Lights ที่ดูพรีเมียมมาก ลำแสงกำลังดีไม่แยงตา
3. เหลือบมองผ่านกระจกมองหลังอีกที เจอกับ ไฟเลี้ยว แบบ Sequential LED หรือไฟเลี้ยวกระพริบแบบวิ่งตามเส้น ที่ถูกย้ายตำแหน่งลงมาอยู่แถวชายล่างกันชน บางทีถ้ารีบมองอาจจะไม่ทันเห็น แม้ตำแหน่งดูจะแปลกตาดี แต่ถ้าอยู่ใกล้โคมไฟหน้าจะมองเห็นง่ายกว่านี้
4. พอขับตามท้ายเพื่อนร่วมทริป เกือบทั้งร้อยต้องเทใจให้ดีไซน์ด้านท้ายใหม่ ไม่เพียงแค่ไฟท้าย LED ใหม่ แต่พอเจอไฟเลี้ยวแบบวิ่ง (Sequential) สีส้มอำพัน ไม่ชอบก็คงไม่ไหว
5. ออปชั่น Kick Activated Back Door เปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้า โดยใช้เท้าหาตำแหน่งเซนเซอร์ ต้องหาจังหวะดีๆ ถึงจะเจอ ขนาดรถยุโรปแพงๆ ก็หาจังหวะยากไม่แพ้กัน
6. ล้อแม็กอัลลอยขอบ 20 นิ้ว ดีไซน์ลายใหม่ ขนาดเหมือนเดิมกับรุ่นล่าสุดก่อนไมเนอร์เชนจ์เป็น Legender นี้ สวมด้วยยางดันลอปขนาด 265/50 R20
7. ภายในยังคงใช้วัสดุที่ดูพรีเมียมพอตัว แต่ที่สร้างบรรยากาศให้ดูสุนทรีย์ขึ้น ดูมีของขึ้น เห็นจะเป็น ไฟ ambient illumination บนแผงประตู
8. มาตรวัด Optitron 4.2 นิ้ว ออกแบบใหม่ ใช้แสงที่ดูซอฟท์ลง สบายตา ใส่ฟังก์ชั่น Tire Turning Angle แสดงภาพมุมการเลี้ยวของล้อคู่หน้า เพื่อกันหลงทิศทางพวงมาลัยเวลาหมุนล้อ
9. หน้าจอสัมผัสขนาด 9 นิ้วรุ่นใหม่ ไม่ต้องถามหาว่าช่อง CD หายไปไหน เพราะยุคนี้ไม่ใช้กันแล้ว เนื่องจากหันไปใช้ Apple CarPlay กับ Andriod Auto รวมไปถึงระบบนำทาง ที่ถูกถอดออกไป ส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้มักจะใช้ Google Map เป็นหลัก รวมไปถึงการให้ระบบ T-Connect มาเป็นมาตรฐานด้วย
10. กล้อง Panoramic View Monitor หรือ 360 องศา เป็นออปชั่นที่จัดว่าโอเคมากทีเดียวเวลาเลี้ยวที่ความเร็วต่ำไม่เกิน 15 กม./ชม.ช่วยทำให้เห็นมุมเลี้ยวในบางครั้งที่เลี้ยวทางแคบ อาจจะเกยฟุตบาธได้
11. เป็นที่ทราบแล้วว่า เครื่องยนต์ 2.8GD ได้ปรับจูนมาใหม่ จนมีกำลังถึง 204 แรงม้า และแรงบิด 500 นิวตัน-เมตร แรงจริงไม่ได้เคลมม้ามาขู่ คันเร่งตอบสนองไว มาตามเท้าที่ป้อนคันเร่ง ทำให้ช่วงจังหวะรถติดๆ ขับง่าย ขับได้สมูธ หรือถ้าจะซิ่ง เดินคันเร่งดีๆ นี่ออกเอี๊ยดได้ยาวๆ ซึ่งในตอนที่ขับอยู่ในโหมด normal เท่านั้นเอง ยังไม่ได้ลองเล่น power mode
12. การเก็บเสียงทำได้น่าพอใจทีเดียว ความเร็ว 120 กม./ชม.บนบูรพาวิถี ยังไม่มีเสียงโวยวายจากลมปะทะตัวถัง แต่ถ้าความเร็วเกินนี้ เริ่มจะมีมาบ้างนิดหน่อยตามสมควร แต่เสียงจากพื้นส่งขึ้นมาห้องโดยสารนี่สิ..ยังไม่เล็ดลอดให้ได้ยิน
13. นอกจากเรื่องเก็บเสียงที่จัดว่าทำได้โอเคมาก เรื่องของช่วงล่างต้องยอมให้กับการเซ็ตติ้งคราวนี้เลย ช่วงล่างหน้า-หลัง ทั้งช็อคอัพ และสปริงที่ว่ายกมาจากของเดิมแต่เป็นสเป็กใหม่ รวมไปถึงการลดระยะห่างของจุดยึดลูกยางเม้าท์ติ้งต่างๆ ทำให้ การเดินช่วงแรกกว่าร้อยกิโลเมตร ก่อนไปออฟโรดนั้น รู้สึกอย่างชัดเจนเอามากๆ ว่า ออกแนวนุ่มแต่เฟิร์ม ไม่ย้วย ค่อนข้างนิ่ง นั่งขับแบบสบายกว่ารุ่นก่อนอย่างชัดเจน เข้าใกล้รถเก๋งไปอีกระดับแม้จะเป็น PPV ที่ตัวถังวางอยู่บนแชสซีส์ก็ตาม
14. นอกจากความนุ่มนวลไร้อาการคลื่นเหียนบนถนนออนโรด ที่ช่วงล่างสลัดอาการสะเทือนที่ถ่ายทอดขึ้นมาบนตัวถังให้รู้สึกได้น้อยแล้ว บนทางออฟโรดช่วงที่ยังไม่โหดนัก ตอนแรกหวั่นๆ เหมือนกันว่า เจอหลุมเจอบ่อเจอหิน มันจะทำให้รถโยกไปโยกมา แต่กลายเป็นว่ายังทำได้ดี ใครที่เมารถง่าย ถ้าได้มาขับหรือนั่ง ฟอร์จูนเนอร์ ลีเจนเดอร์ ใหม่ โยนทิ้งยาแก้เมาที่พกมาไปได้เลย
15. ช่วงกลางทางของออฟโรดก่อนถึงด้านบนที่เป็นลานร่มร่อนของคนที่มาเล่นกีฬาร่มร่อน เส้นทางค่อนข้างเละ ดินโคลนแบบหนังหมู แถมยังขึ้นเนิน ใจนึงก็หวั่นไม่น้อยว่าจะไหวหรือไม่ แต่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ sigma 4 ก็ช่วยให้ผ่านไปได้ ตอนที่ขับผ่านเปลี่ยนมาใช้ H4 เท่านั้น แต่ต้องใช้ทักษะการขับเข้าช่วย เร่งส่งเพื่อให้ขึ้นพ้นเนินระยะไม่ต่ำกว่า 100 เมตร คงต้องให้เครดิตกำลังเครื่องยนต์ และคันเร่งที่ควบคุมง่ายด้วย เพราะถ้ากำลังเครื่องไม่มาตามเท้าสั่ง อาจจะขึ้นเนินที่เละเป็นโคลนไม่พ้นเป็นแน่
16. ขากลับลงจากเขา ส่วนใหญ่เป็นทางลงเนิน ระบบ DAC จำเป็นมากในทางลงเนินแบบนี้ ซึ่งการทำงานของระบบ DAC (downhill assist control) ที่ช่วยควบคุมความเร็วตอนลงทางชัน มีการทำงานที่ สมูธ กว่าในรุ่นก่อน ไม่มีเสียงเบรกดั ครึ่ดคราดๆ แต่จะได้ยินเสียงไฟฟ้าไปสั่งเบรกทำงานเป็นจังหวะๆ และที่รู้สึกได้คือ เหมือนเซนเซอร์สั่งการให้ทำงานไวกว่าเดิม ไม่ต้องรอให้ตัวปักหัวลงเยอะ ลดอาการหวาดเสียวว่าเมื่อไหร่ระบบจะสั่งงาน
17. แถมให้อีกหน่อยสำหรับคนชอบความแรง บนหน้าปัดมีสเกลมาตรวัดอยู่เท่าไหร่ ก็ไปได้เกือบๆ เท่านั้น แม้เข็มไมล์จะไปไม่สุด (เต็มที่แล้ว) แต่ความรู้สึกบอกได้ว่าเครื่องยังเหลือให้ไปได้อีกเยอะ
18. ระหว่างทางกว่าร้อยกิโลเมตรนิดๆ อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยวัดจากหน้าปัด อยู่ที่ 11 กม./ลิตร ความเร็วที่ใช้ประมาณ 100-120 กม./ชมตามกฎหมายกำหนด
สรุปอีกครั้งสำหรับ Toyota Fortuner 2.8 Legender 4WD กับการปรับครั้งใหญ่ นอกจากดีไซน์แล้ว สมรรถนะก็เป็นอีกอย่างที่บอกได้เลยว่า ผิดหูผิดตา การตอบสนองที่ดี และไว ช่วยขับได้ง่าย และสมูธ รวมไปถึงช่วงล่างที่ผ่านการเซ็ตติ้งชุดใหญ่ จนขยับเข้าใกล้ความเป็นเก๋งไปอีกขั้น แม้ค่าตัวจะบวกเพิ่มขึ้น แต่แลกกับการที่ไม่ต้องโมดิฟายอะไรอีกแล้ว จึงไม่น่ายากในการตัดสินใจ
ราคาจำหน่าย Fortuner Legender
- 2.8 Legender AT 4WD 1,839,000 บาท
- 2.8 Legender AT 1,769,000 บาท
- 2.4 Legender AT 4WD 1,634,000 บาท
- 2.4 Legender AT 1,564,000 บาท