รีวิว : All New HONDA Civic ( ออล นิว ฮอนด้า ซีวิค ) ในเส้นทาง กรุงเทพฯ- ปราจีนบุรี
รอกันมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วสำหรับ All New HONDA Civic ( ออล นิว ฮอนด้า ซีวิค ) แต่น้องน้ำดันตามมาพัดพาหายไป กว่าจะตั้งหลักได้ ก็ต้องมาเปิดตัวกันในเดือน 5 ปีนี้ แต่ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ก็ไม่รอช้า ที่จะจัดการทดสอบสมรรถนะให้สื่อมวลชนได้พิสูจน์ทันที ในเส้นทาง กรุงเทพฯ- ปราจีนบุรี
All New HONDA Civic
ทริปนี้สื่อมวลชนทุกท่านพร้อมหน้ากันที่ศูนย์ฝึกอบรม ฮอนด้า ซึ่งตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมบางชัน เพื่อเริ่มจากการฟังบรรยายถึงตัวผลิตภัณฑ์ โดยมีคุณพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด , คุณสมภพ ปฏิภาณธาดา ผู้จัดการส่วนงานการตลาด บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด, คุณศิริพร ศรีสุข ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด มากล่าวตอนรับ รวมถึง มร.ยูจิ นิชินะ วิศวกรพัฒนาฮอนด้า ซีวิค ใหม่ บริษัท ฮอนด้า อาร์ แอนด์ ดี จำกัด ประเทศญี่ปุ่น มาเป็นผู้บรรยายถึงตัวผลิตภัณฑ์เจเนอเรชั่นที่ 9 สำหรับ All New HONDA Civic
การออกแบบตัวถัง
รถยนต์ในตระกูล Civic มีการพัฒนามากว่า 40 ปี กว่าจะถึง All New HONDA Civic ปี 2012 รหัส FB โดยในรุ่นนี้ใช้แนวคิดหลัก คือ เรียบมีพลัง เทคโนโลยีที่ชาญฉลาด ขับสนุกประหยัดน้ำมัน และก็คำนึงถึงความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และ DQR (Durability Quality Reliability) หรือความคงทน คุณภาพ ความน่าเชื่อถือ โดยถ้าดูจากการออกแบบภายนอกตามคอนเซ็ปท์ Clean & Energetic ซึ่งตั้งใจออกแบบตัวถังแบบ mono – from ให้ดูมีพลังและปราดเปรียว โดยในรุ่นนี้มีฐานล้อแคบกว่ารุ่นเดิม 30 มม. ใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาลง เพื่อช่วยในเรื่องของความประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีขึ้น แต่โครงสร้างตัวถังแบบ G-CON ที่ All New HONDA Civic เลือกใช้จะเข้ามามีส่วนช่วยเพิ่มความสามารถในการกระจายแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในระหว่างการชนทางด้านหน้า เพื่อลดความเสียหายลง และใช้เหล็กที่มีความแข็งแกร่งสูงมากถึง 55% ในขณะที่รุ่นเดิมมีการใช้เหล็กประเภทนี้เพียง 50% เท่านั้น จึงมีความทนทานต่อการบิดตัวดีขึ้นถึง 10% และมีความปลอดภัยสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้เสา A-Pillar มีขนาดที่เพรียวขึ้น ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ดีขึ้น
เทคโนโลยี
จุดเด่นต่อมาคงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นมา คือหน้าจอแสดงข้อมูลแบบอัจฉริยะ หรือ Intelligent Multi-Information Display (i-MID) หน้าจอ i-MID รุ่นล่าสุดจะแสดงผลข้อมูลหลากหลายรูปแบบทั้งระบบเครื่องเสียง, ระยะทางในแต่ละทริปของการเดินทาง, อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และข้อมูลสำหรับแจ้งเตือน โดยทั้งหมดจะถูกแสดงผลผ่านทางหน้าจอสีขนาด 5 นิ้วแบบ LCD อีกส่วน คือโหมดการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน ECON Mode ซึ่งช่วยปรับแต่งค่าต่างๆ ของตัวรถให้มีความประหยัดน้ำมันในขณะขับขี่เพิ่มขึ้น เมื่อกดปุ่ม ECON ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Drive-by-Wire มีการตอบสนองที่ดีขึ้น การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติก็จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงาน เช่นเดียวกับระบบปรับอากาศ ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันให้กับตัวรถ
เครื่องยนต์
หลังจากพอทราบจุดเด่นๆ ของ All New HONDA Civic กันไปคร่าวๆแล้ว เราก็เริ่มออกเดินทางกันครับ รถที่ผมใช้ทดสอบเป็น 1.8 E AT Navi พร้อมน้ำมัน E85 เต็มถัง โดยเครื่องยนต์ เป็น SOHC 4 สูบ 16 วาล์ว i-VTEC 1.8 ลิตร เสื้อสูบผลิตจากอะลูมิเนียมที่มีความทนทานสูง และมีการลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนภายในขณะเคลื่อนที่ ท่อร่วมไอดีแบบแปรผัน 2 จังหวะ และผลิตจากวัสดุแบบ Composite พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ Grade Logic Control พร้อม Direct Control และ Shift Hold System สามารถรีดแรงม้าสูงสุดได้ 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที ส่วนแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 174 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบ/นาที และที่สำคัญสามารถใช้น้ำมัน E85 ได้ด้วย ตามคอนเซ็ปท์ของ HONDA ในปีนี้ที่จะนำพลังงานทดแทนทุกรูปแบบมาใช้ เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม
การคอนโทรลจากปุ่มฟังค์ชั่นบนพวงมาลัย
พอออกตัวไปได้สักพักเราก็เล่นกันเจ้า i-MID ที่สามารถเซ็ทปรับทุกอย่างในรถ โดยใช้เพียงปุ่มกดบนพวงมาลัย แต่ระหว่างที่ขับไม่สามารถปรับอะไรได้เลย เพราะเป็นระบบป้องกันเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของ HONDA ดังนั้นเราจึงต้องจอดรถเพื่อปรับตั้งค่าต่างๆ ให้เรียบร้อยทั้ง Up Load Wallpaper เป็นรูปที่เราต้องการ, เปลี่ยนสีหน้าจอ, ตั้งค่าไฟส่องสว่างในรถ, ตั้งค่าล็อคประตู และเชื่อมต่อโทรศัพท์ให้เรียบร้อย เพียงใช้การคอนโทรลจากปุ่มฟังค์ชั่นด้านซ้ายของพวงมาลัย
จากนั้นผมก็เริ่มเดินทางต่อเพื่อลองสมรรถนะของเครื่องยนต์ ผมว่าความแรงไม่ได้ต่างจากรุ่นเดิมมากนัก ยังคงเป็นเครื่องยนต์ 1.8 ลิตรที่ขับสนุกเช่นเดิม ทั้งในรอบต้น ซึ่งความเร็วสูงสุดที่ผมทำได้คือ 197 กม./ชม. แต่ที่น่าสนใจ คือโหมด “ECON” เจ้าปุ่มเขียวๆ ด้านขวาของคอนโซล โดยเจ้าปุ่มนี้กดลงไปแล้ว จะคำนวนค่าการสั่งงานให้ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ปรับการตอบสนองให้ดีขึ้น การเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติให้สอดคล้องกับการทำงานของเครื่องยนต์ ระบบปรับอากาศก็จะปรับจังหวะการเปิด-ปิด คอมเพรสเซอร์ให้เหมาะสม ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันให้กับตัวรถมากขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะได้ลองขับมี “เจ้านู๋จำมั๊ย” ถามผมว่าทำไม ไม่ประหยัดมาเลยจากโรงงาน จะให้กดปุ่ม “ECON” อีกทำไม ในจุดนี้จากที่ผมลองขับแล้วก็พอตอบได้ครับ คือ ระหว่าง กด “ECON” กับไม่กด Feeling การขับขี่ก็ต่างกัน ถ้าต้องการให้ Feeling การขับแบบ Sport แบบรุ่นเดิมอัตราเร่งดีๆ ขับสนุกๆ แต่ใช้เชื้อเพลิงมากสักนิด ก็เอา “ECON” ออก เพราะความเร็วต้องมาคู่กับการบริโภคน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอยู่ แต่ถ้าคุณต้องการขับแบบประหยัดน้ำมันสูงสุด เพียงกด “ECON” แม้ความแรงจะหายไปบ้าง แต่ประหยัดขึ้นเยอะ ดังนั้นทางวิศวกรจึงเพิ่มระบบนี้ขึ้นมา เพื่อเพิ่มสไตล์การขับขี่ให้หลากหลายมากขึ้น
ระบบ Eco Assist
ที่สำคัญยังมีระบบ Eco Assist ซึ่งแสดงผลบนแผงมาตรวัดช่วยให้รักษารูปแบบการขับขี่แบบประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง แถบแสดงผลประหยัดน้ำมันมีลักษณะเป็นแนวตั้งวางตัวอยู่มุมซ้ายและขวาของมาตรวัดความเร็ว ซึ่งจะเปลี่ยนตามรูปแบบการขับขี่ แถบสีฟ้าจะแสดงถึงประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในระดับปกติ และจะเปลี่ยนเป็นแถบสีเขียว เมื่อมีประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น ระบบนี้จะมีการแสดงผลตลอดเวลาเพื่อให้ผู้ขับได้รับทราบถึงสไตล์การขับของตัวเองในขณะนั้น ซึ่งมีผลต่ออัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันของตัวรถและการเปลี่ยนสีของมาตรวัด จะเป็นการสะท้อนกลับมาช่วยให้ คุณสามารถปรับเปลี่ยนสไตล์การขับเพื่อความประหยัดน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ระบบช่วงล่าง
มาดูระบบช่วงล่างที่มาพร้อมระบบพวงมาลัย และระบบควบคุมการบังคับทิศทางพวงมาลัย (Motion Adaptive Electric Power Steering System : MA-EPS เป็นที่น่าพอใจในความรู้สึกผมมากๆ พวงมาลัยที่แม่นยำ สมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีเยี่ยม คล่องตัวมากๆ แถมยังมีระบบ VSA ที่เข้ามาช่วยการทรงตัวให้ดีขึ้น ทำให้การยึดเกาะถนนดีขึ้นไปอีก แต่ส่วนที่ผมขอติสักหน่อยคงเป็นเรื่องการเก็บเสียงในห้องโดยสาร เพราะจากที่ผมได้ลองขับทั้ง 2 คันในรุ่น 1.8 และ 2.0 พอความเร็วเกิน 110 กม./ชม. เริ่มมีเสียงลมเข้ามารบกวนอยู่บ้าง ซึ่งในรุ่นเดิมไม่เป็นเช่นนี้ ผมสอบถามจากวิศวกรญี่ปุ่น เค้าให้คำตอบว่าเป็นผลจากการออกแบบหรือสภาวะเส้นทางการขับขี่ แต่ตอนที่วิศวกรทดลองที่ญี่ปุ่นไม่เป็นเช่นนี้
พอถึงที่หมายผมได้เปลี่ยนมาขับรุ่น 2.0 ลิตรดูบ้าง แต่เป็นระยะสั้นๆ เพียง 20 กม. และเป็นโค้งขึ้น-ลง เขา ตลอด ซึ่งไม่สามารถตอบอะไรได้มากนัก แต่ที่สัมผัสได้ คือ ช่วงล่างที่ดี พวงมาลัยที่แม่นยำมาก ขึ้น และอัตราเร่งที่ร้อนแรงของเครื่องบล็อคนี้ครับ
สุดท้ายต้องขอบคุณ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด และทีมฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติ iAMCAR VARIETY E-MAGAZINE & www.iamcar.net ได้ร่วมสัมผัสนวัตกรรมดีๆ จาก HONDA เสมอมาครับ หากท่านใดสนใจ All New HONDA Civic สามารถสัมผัสได้ด้วยตัวคุณเองทุกโชว์รูมของ HONDA ทั่วประเทศ
บทความแนะนำ
Grand Opening All new HONDA Civic
รีวิว : All New HONDA Civic 1.8 E AT Navi ( ออล นิว ฮอนด้า ซีวิค ) เจนเนอเรชั่นที่ 9 ของตระกูล Civic