รีวิว : Honda Accord Hybrid ” ทดลองขับ ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด “

ตั้งแต่วันที่ Honda Accord Hybrid ” ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด ” เปิดตัวส่วนตัวผมก็พยายามเปิดโบว์ชัวร์หาข้อมูลในที่ต่างๆ เพราะอยากทราบมากๆ ว่า “Advanced Full Hybrid ” กับ “ 2 มอเตอร์” ที่ทางฮอนด้ายกออกมาเป็นความโดดเด่นของรุ่นนี้คืออะไร และการรอคอยของผมก็สิ้นสุดลง เมื่อทางฮอนด้าจัดกิจกรรมการทดสอบ Honda Accord Hybrid “ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด” ณ จังหวัดตรัง แต่จะดีสมคำร่ำลือขนาดไหน มาสัมผัสไปพร้อมๆ กับผมครับ

 

Honda Accord Hybrid

ตั้งแต่เช้าตรู่สื่อมวลชนพร้อมหน้าผมตาบินลัดฟ้าสู่จังหวัดตรัง พร้อมฟังบรรยายผลิตภัณฑ์ก่อนออกไปขับทดสอบจริง ผมขอแนะนำ Honda Accord Hybrid “ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด”ให้รู้จักคร่าวๆ กันก่อนนะครับ รูปร่างหน้าตาของรถรุ่นนี้จะคล้ายกับ HONDA Accord Generation 9 หรือรุ่นล่าสุดที่วิ่งอยู่บนถนนเมืองไทย จะแตกต่างตรงไฟหน้าแบบ LED ตกแต่งด้วยกรอบสีฟ้า ไฟท้ายแบบ LED ตกแต่งด้วยเลนส์สี Clear Blue กระจังหน้าดีไซน์พิเศษตกแต่งด้วยเลนส์สี Clear Blue เสาอากาศแบบครีบฉลาม และล้ออัลลอยสีใหม่ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถแทนคำว่า “HYBRID” ได้เป็นอย่างดี

 

Advanced Full Hybrid

เมื่อออกเดินทางความอยากรู้อยากเห็นก็เริ่มเกิดขึ้น อย่างแรกเลย “Advanced Full Hybrid” “ 2 มอเตอร์” และประหยัด 23.6 กม./ลิตร เหนือกว่าคู่แข่งอย่างไร คืออะไร ทำได้จริงหรือไม่ หลังจากที่ทดลองขับแล้ว พูดคุยกับวิศวกรผู้พัฒนารถคันนี้ นวัตกรรมการขับเคลื่อนที่มีเทคโนโลยีระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ทำงานด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว Atkinson Cycle Double Over Head Camshaft (DOHC) i-VTEC ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้เทคโนโลยี สำหรับระบบไฮบริดโดยเฉพาะ ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า ด้วยแรงบิดสูงสุด 165 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ที่ให้กำลังสูงสุด 169 แรงม้า ด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 307 นิวตัน-เมตร เกียร์ E-CVT และแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน มีความจุไฟฟ้า 1.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง หากมองจากสเป็คของรถ จุดแรกที่ทุกคนสงสัย คือ เรื่องของแรงม้า เนื่องจากเครื่องยนต์ให้กำลัง 143 แรงม้า มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวกำลังสูงสุด 169 แรงม้า แต่พอทำงานร่วมกันในรอบเครื่องยนต์สูงสุดกลับให้กำลังออกมาเพียง 199 แรงม้า ผมขออธิบายอย่างนี้ครับ เนื่องจากระบบการขับเคลื่อนจะสั่งการทำงานของเครื่องยนต์ในรอบสูงให้ลดประมาณ 30 % เพื่อให้อัตราการสิ้นเปลืองให้น้อยลงในความความเร็วสูง พร้อมทั้งสั่งงานให้มอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามาช่วยขับเคลื่อนให้ความเร็วช่วงปลายเกือบ 200 กม./ชม.

 

มารู้จักกับ “2 มอเตอร์”

มารู้จักกับ “2 มอเตอร์” ถ้ามองแบบไม่ลึกซึ้งหลายๆ คนคงคิดว่าเป็นมอเตอร์ 2 ตัว ช่วยกันขับเคลื่อนส่งกำลังไปสู่ล้อให้แรงมากขึ้น แต่ที่จริงแล้วจะเป็นมอเตอร์เจเนอเรเตอร์ 1 ตัว ทำหน้าที่ผลิตพลังงานส่งให้มอเตอร์ขับเคลื่อนอีกหนึ่งตัว ส่งกำลังออกไปเพื่อหมุนล้อออกไปข้างหน้า และเมื่อเรายกคันเร่งหรือกดเบรก มอเตอร์ขับเคลื่อนตัวนี้จะทำแปลงพลังจลน์ (พลังงานที่สูญเปล่าในการขับเคลื่อนในรถยนต์ปกติ) ให้เป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บเข้าแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนโดยใช้ PCU (Power Control Unit) เป็นตัวควบคุมการทำงาน

 

ระบบส่งกำลัง E-CVT

ต่อมา E-CVT ระบบส่งกำลังนี้ไม่ได้มีสายพานเป็นตัวส่งกำลังอย่างที่เราคุ้นเคย แต่ E-CVT บ่งบอกอยู่แล้วว่าเป็นเกียร์ระบบไฟฟ้า มอเตอร์ขับเคลื่อน จึงทำหน้าที่ส่งกำลังขับเคลื่อนไปที่ล้อโดยตรง หรือพูดกับแบบเข้าใจง่ายๆ ไม่มีเกียร์ครับ แต่พอเรามามองที่เกียร์จะเห็นว่า ตำแหน่ง D นี้ทุกๆ ท่านเข้าใจว่าใส่เกียร์แล้วเหยียบคันเร่งขับเคลื่อนไปได้โดยไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่ตำแหน่ง B ล่ะ จริงแล้วตำแหน่ง B จุดประสงค์หลักใช้เพื่อลงทางลาดชัน หรือช่วยให้ระยะเบรกสั้นลง ทำใหน้าที่คล้ายๆ กับ “Engine Brake” แต่เป็นมอเตอร์เข้ามาช่วยเบรกแทน อีกข้อดีในการใช้ตำแหน่ง B คือ จะมีการเก็บไฟเข้าแบตเตอรี่ได้มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิม

 

EV Drive Mode

มาครับออกไปลองขับกันดีกว่า แค่จะออกตัวคุณจะพบกับเทคโนโลยีแล้ว เพราะการทำงานถูกแบ่งออกเป็น 3 โหมดผมขออธิบายแบบเข้าใจง่ายที่สุดนะครับ ในช่วงออกตัวจะเป็นหน้าที่ของ EV Drive Mode คือ จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ส่งมาให้มอเตอร์ขับเคลื่อนมาหมุนล้อ ฉะนั้นไม่ใช้น้ำมันเลย พอในความเร็วช่วงกลางจะเป็น โหมด Hybrid Drive Mode ซึ่งจุดนี้จะเป็นการนำพลังงานเครื่องยนต์มาส่งให้มอเตอร์เจเนอเรเตอร์ปั่นไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน พร้อมทั้งนำกำลังไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ส่วนหนึ่งมาส่งช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้าหมุนล้อด้วย ฉะนั้นจะลดการใช้น้ำมันลงไปมากหากเทียบกับรถยนต์ที่ไม่มีระบบ Hybrid สุดท้าย Engine Drive Mode โหมด การทำงานในความเร็วสูง ซึ่งจะเป็นการนำพลังงานเครื่องยนต์มาส่งให้มอเตอร์เจเนอเรเตอร์ปั่นไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อนไปหมุนล้อ แต่ในข้อดีที่แตกต่างของ Accord Hybrid คือ เมื่อคุณขับรถด้วยความเร็วสูงระบบจะส่งกำลังไฟฟ้าเข้ามาช่วย เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์ลง 30% ดังนั้นแม้คุณจะขับเร็วก็ยังประหยัดกว่ารถเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรปกติแน่นอน

 

หลังจากที่ได้สัมผัสทั้ง 3 โหมดเป็นระยะทางประมาณ 70 กม. จะบอกว่าไม่ประทับใจคงไม่ได้ เพราะอีก 20 ท่าน ซึ่งเป็นนักทดสอบรถที่มีประสบการณ์มากว่า 10 ปี ชมกันทุกท่าน แต่ส่วนตัวผมเองชอบตั้งแต่อัตราเร่งที่สั่งงานได้ดั่งใจจาก 0-190 กม./ชม. ผมรับรองว่าพิกัดเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรในท้องตลาดไม่เป็นรองค่ายไหน แต่พอคุณใช้ความเร็วประมาณ 90-100 กม./ชม. คุณจะสัมผัสถึงความประหยัดทันที อัตราเฉลี่ยน้ำมันอยู่ราวๆ 21-22 กม./ลิตร เรียกได้ว่าอีโคคาร์บางรุ่นยังทำไม่ได้เลย กระจ่างแล้วครับ สำหรับคำว่า “Advanced Full Hybrid” สำหรับผม เหนือกว่าจริงๆ นี่ถ้าได้ไปใช้งานในเมืองรถติดๆ ตอนเย็นๆ แทบจะไม่ใช้น้ำมันเลยครับ ขับ EV Mode ยาวๆ คงประหยัดหน้าดู แต่ในเรื่องความประหยัดไม่ได้ทำได้เท่านี้นะครับ ในรุ่นนี้ยังคง ECON Mode ให้มีความประหยัดน้ำมันในขณะขับขี่เพิ่มขึ้น เมื่อกดปุ่ม ECON ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ Drive-by-Wire มีการตอบสนองที่ดีขึ้น การส่งกำลังก็จะถูกปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับการทำงาน เช่นเดียวกับระบบปรับอากาศ ซึ่งทั้งหมดก็เพื่อช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันให้กับตัวรถ

 

ภายในห้องโดยสาร

พอขยับมาเป็นผู้โดยสารบ้าง ภายในห้องโดยสารมีความหรูหรา กว้างขวางเช่นเดิม แต่เพิ่มความสมบูรณ์แบบ ประณีตในรายละเอียด มีหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบอัจฉริยะ (Intelligent Multi-Information Display – i-MID) พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น โดยมีสวิตซ์ควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ พร้อมปุ่มควบคุมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ มาตรวัดเรืองแสง Self – illuminating Meters ซึ่งบนหน้าจอยังแสดงผลการจ่ายไฟและชาร์จไฟ ของระบบไฮบริด แสดงผลการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย Bluetooth และรองรับการเชื่อมต่อ Smart Phone บางรุ่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัตแบบ Dual Zone ปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย/ขวา ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์แบบอัจฉริยะ (One Push Ignition System) ที่ใช้งานง่าย และระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร (ANC) ซึ่งส่วนตัวผมชอบจุดนี้มาก เพราะถือว่าเก็บเสียงได้ดีกว่ารุ่นเดิม

 

ระบบช่วงล่าง

อีกส่วนที่ผมต้องกล่าวถึงคือ ระบบช่วงล่าง เนื่องจากมีการเปลี่ยน SUB Frame ด้านหน้าเป็นอลูมิเนียมซึ่งมีน้ำหนักเบาพร้อมทั้งความแข็งแรงมากกว่าเดิม ส่วนช็อคอัพปรับใหม่แบบ Amplitude Reactive Dampers เป็นระบบเชิงกลไกที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการควบคุมการทำงานซึ่งเป็นการผสมข้อดีของช็อคอัพ 2 ระบบ โดยระบบดูดซับแรงกระแทกแบบที่หนึ่งได้รับการปรับแต่งมาเพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในเรื่องของการขับขี่บนถนนที่ราบเรียบ ขณะที่อีกระบบหนึ่ง ปรับแต่งมาเพื่อรองรับกับแรงกระแทกสูงที่มาจากสภาพถนนที่ขรุขระ และการหักเลี้ยวหรือเบรกกะทันหัน นอกจากนี้ยังมีเหล็กกันโคลง Anti –rolls bars ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวกว่า Accord เครื่องยนต์ปกติ คือ เหล็กกันโคลงหน้ามีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 19 มม. และหลังมีขนาด 16 มม. ซึ่งช่วยลดความโคลงของตัวรถในขณะเข้าโค้งและหักเลี้ยว ที่สำคัญระบบความปลอดภัยยังมาให้เพียบโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ G-CON ถุงลมคู่หน้าอัจฉริยะ (Dual i-SRS) ถุงลมด้านข้างคู่หน้าอัจฉริยะ (i-Side Airbag) พร้อมม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbags) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว (VSA) ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย (MA-EPS) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Auto Door Lock by Speed) ระบบกุญแจนิรภัย (Immobilizer) สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน (ESS) นี่ยังไม่รวม ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) ช่วยลดจุดบอดในการมองเห็นของกระจกมองข้างด้านซ้าย เพียงคุณเปิดไฟเลี้ยวซ้ายระบบจะใช้กล้องในการจับภาพและแสดงผลผ่านหน้าจอ เพื่อให้คุณเห็นว่ามีรถอยู่ในมุมอับหรือไม่

 

สำหรับผมหมดของสงสัยในตัว Honda Accord Hybrid “ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด” สมรรถนะชั้นเลิศประกอบความประหยัดชั้นเยี่ยม นำมาผสมรวมกันกับความหรูหรามีระดับ เมื่อคุณได้ครอบครองจะกลายเป็น “ผุ้ชายหรู ดูดี ฉลาดเลือก ใช้เงินเป็น” ในทันที แต่อย่างพึ่งเชื่อผมครับ…ไปทดลองขับกันเองที่โชว์รูมฮอนด้าทั่วประเทศครับ ลองแล้วจะคิดเหมือนกันกับผมไหมครับว่า “อยากได้”