รีวิว : MITSUBISHI Pajero Sport 2.5 VG Turbo ( มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ) พิสูจน์ถึงสมรรถนะของรถ หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายจุด ทั้งในด้านความหรูหรา ความนิ่มนวล และความบันเทิงในการเดินทาง
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ชวนสื่อมวลชนท่องเที่ยวกันแบบชิว..ชิว ไปกับ MITSUBISHI Pajero Sport 2.5 VG Turbo ( มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต ) เพื่อพิสูจน์ถึงสมรรถนะของรถ หลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงไปหลายจุด ทั้งในด้านความหรูหรา ความนิ่มนวล และความบันเทิงในการเดินทาง
MITSUBISHI Pajero Sport 2.5 VG Turbo
เริ่มต้นการเดินทาง ณ ฐานบัญชาการของ มิตซูบิชิ ย่านรังสิต เมื่อสื่อมวลชนมาพร้อมหน้าพร้อมตา คุณผกามาศ ผดุงศิลป์ ผู้ชำนาญการอาวุโส ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ออกมาต้อนรับด้วยเอง ก่อนจะส่งให้ฝ่ายผลิตภัณฑ์บรรยายความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของ Pajero Sport ใหม่ แม้ภายนอกจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัด แต่เท่าที่ฟังบรรยายผมว่า “อารมณ์การขับขี่เปลี่ยนแน่นอน” จากนั้น 2 สาว PR MITSUBISHI เตรียมรถ MITSUBISHI Pajero Sport 2.5 VG Turbo ทั้งขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ ไว้ถึง 10 คัน แล้วกล่าวสั้นๆ ว่า “อยากขับคันไหน จัดไปเลยค่ะ” ผมกระโดดขึ้น Pajero Sport 4WD 2.5 VGT GT / 5AT ราคา 1,312,000 บาท ซึ่งเป็นรุ่น Top ที่ดีสุดจาก 4 รุ่นย่อยที่มีจำหน่ายอยู่ เพราะว่าจะได้ลองใช้ออฟชั่นที่มีเพิ่มขึ้นมาได้ทุกๆ ชิ้น
ภายนอก
แต่ก่อนจะออกเดินทางผมขอสำรวจความงามที่เพิ่มขึ้นมาของภายนอกก่อน อย่างแรกคงจะเป็นความงามของไฟหน้าแบบ HID ซึ่งสามารถปรับแสงไฟได้แบบอัตโนมัติ พร้อมวางไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ไว้ในโคมเดียวกัน ส่วนที่กันชนหน้าซ่อนที่ล้างไฟหน้าเอาไว้ด้วย เพื่อเวลาเอารถไปลุยแบบ Off Road แล้วเปื้อนโคลน จะได้ไม่เสียเวลาจอดรถลงมาเช็ด ขยับขึ้นมามองที่กระจกหน้าเห็นกล่องดำเล็กๆ ที่กลางกระจกนั้นเป็นเซ็นเซอร์ของระบบปัดน้ำมันฝนอัตโนมัติ มาต่อที่ด้านข้างโดดเด่นด้วยกระจกมองข้างแบบโครเมียมพร้อมไฟเลี้ยว และล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วลายใหม่ ส่วนด้านท้ายเพิ่มในส่วนของกล้องมองหลังแล้วก็สัญญาณเซนเซอร์การถอยจอด ด้านความงามคงเดิม
เครื่องยนต์
เริ่มออกเดินทาง ทริปนี้เราไปกันกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 5 คัน โดยที่ขับตามๆ กันไป โดยมีจุดหมายที่จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทางประมาณ 100 กว่ากม. เพียงแค่ออกจากหน้าฐานบัญชาการของมิตซูบิชิ พี่สื่อมวลชนคันหน้าก็ลองสมรรถนะความแรงของเครื่องยนต์บล็อค 4D56 DI-D Hyper Common Rail VG Turbo Intercooler 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ความจุ 2,477 ซีซี กำลังสูงสุด 178 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ INVECS-II พร้อม Sportronic ทำให้ผมต้องเพิ่มความเร็วแบบจมคันเร่ง แต่ก็ทำให้ผมพอที่จะจับอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ราวๆ 12-13 วินาที ความเร็วสูงสุดแม้จะแบกน้ำหนักตัวมากถึง 2,060 กก. ก็ยังสามารถไปแตะที่ 190 กม./ชม. ได้ไม่ยาก ในเรื่องของความแรงที่เพิ่มขึ้นของเครื่องยนต์บล็อคนี้มาจากการพัฒนาระบบการฉีดน้ำมันให้มีแรงดันสูงขึ้น ระบบเทอร์โบแบบแปรผัน ระบบไอดีออกแบบให้มีทางการเข้าอากาศแบบ 2 ช่องต่อ 1 สูบ เพื่อให้มีอากาศเข้ามาในกระบอกสูบมากและเร็วขึ้น ทำให้การจุดระเบิดเร็วขึ้น รอบเครื่องยนต์ต่ำลง ส่วนที่หัวลูกสูบมีลักษณะมีร่องโค้งเว้า พร้อมเคลือบสารกราไฟท์ที่นอกจากจะทำให้ลูกสูบแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังสามารถลดการสึกหรอของลูกสูบได้อีกด้วย จึงทำให้ลูกสูบขึ้น- ลงได้คล่องตัวกว่า เพราะแรงเสียดสีที่เกิดกับกระบอกสูงมีน้อยลง ที่สำคัญในรถรุ่นใหม่ๆ ต้องอาศัยกล่องควบคุมที่ดีและ มีความว่องไวในการประมวลผล ทำให้ทางมิตซูบิชิเลือกกล่อง ECU แบบ 32 บิทมาสั่งงานแทน
การเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ในครั้งนี้ จากตัว Top สุด เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร มาเป็น 2.5 ลิตรทั้งหมดในส่วนของเครื่องยนต์ดีเซล เพราะพฤติกรรมส่วนใหญ่ของผู้บริโภคจะเลือกใช้เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรมากกว่า 3.2 ลิตร เพราะภาษีประจำปีของ 3.2 ลิตรแพงมากๆ ทางมิตซูบิชิจึงนำ 2.5 ลิตรเดิมมาพัฒนาให้มีความแรงมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ในการเดินทางเป้าหมายแรกที่เราจะไป คือ ทานอาหารเที่ยงที่ Mr. Duck กำแพงแสน แต่ด้วยความเร็วที่เราใช้เฉลี่ย 160 – 170 กม./ชม. ในการเดินทาง ทำให้อาหารเที่ยงของทริปนี้เกือบจะเป็นอาหารเช้าเลยทีเดียวเพราะมาถึงเร็วมาก แต่ความประทับใจก็บังเกิดกับช่วงล่างที่น่าจะมีการปรับให้นิ่มนวลขึ้น แล้วก็ทำได้ดีซะด้วย ทำให้เป็นการเดินทางสบายขึ้นมาก
ภายใน
หลังจากอิ่มท้องเราก็เดินทางต่อ คราวนี้ลดความเร็วลงมานิดทำให้ผมมีโอกาสมาดูจุดเด่นของภายในบ้าง รถ Pajero Sport เป็นรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง สามารถปรับเบาะเพื่อตอบสนองความต้องการได้หลายรูปแบบ ภายในเน้นความดุดันคุมโทนด้วยสีดำ แต่ยังมีการเติมความหรูหราด้วยขอบคิ้วสีบอร์น พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ที่มีทั้ง Paddle Shift ในการเปลี่ยนเกียร์ ฟังก์ชั่นควบคุมเครื่องเสียง และระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control ส่วนที่ตัวเบาะปรับไฟฟ้าหุ้มด้วยหนังสีดำ ที่ออกแบบมาดีทำให้เวลาขับขี่ทางไกลไม่มีอาการล้าจากการนั่งนานๆ เบาะตอนที่ 2 ปรับเอนได้ทำให้ผู้โดยสารสามารถปรับเอนได้ตามความชอบ
ระบบ Entertainment System
แต่จุดเด่นสุดๆ คงเป็นระบบ Entertainment System ที่มีจอ LED ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งมีความคมชัดสูงด้วยความละเอียด 1,150,000 Pixel พร้อมสามารถเป็น Navigator ในรูปแบบ 3 D สามารถใส่ Wallpaper ได้ตามที่คุณต้องการและเก็บภาพได้ถึง 12 ภาพ และยังเป็นจอแสดงผลของกล้องมองหลัง ซึ่งทั้งมีระบบ Android แบบ Smart Phone ในการประมวลผล นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อ Bluetooth ได้ด้วย ในส่วนของเครื่องเล่นวิทยุรองรับ DVD, VCD, MP3 แถมยังมีช่องเชื่อมต่อ USB ที่เชื่อมได้ทั้ง iPOD, iPHONE และ Hard Disk เล่นได้ทั้งไฟล์เพลง ไฟล์ภาพ และไฟล์ภาพยนตร์ ส่วนเหนือศีรษะที่นั่งแถว 2 มีจอ LED ขนาด 10.2 นิ้วคอยสร้างความบันเทิงให้ผู้โดยสารตอน 2-3 ตลอดเส้นทาง ในการใช้งานคุณต้องศึกษาวิธีการใช้สักเล็กน้อยจะได้ใช้ออฟชั่นอย่างครบถ้วน
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ในเมื่อ Pajero Sport เป็นรถพร้อมลุย แถมคันของผมยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วย จึงต้องพาไปออกแรงในสไตล์ Off Road ดูบ้าง Pajero Sport มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part Time ที่มิตซูบิชิเรียกว่า Super Select 4WD หรือ SS4 ซึ่งต่างจากคู่แข่งที่มี 3 โหมด แต่คันนี้มีโหมดการขับขี่ให้เลือกหลักๆ อยู่ 4 แบบ 2H สำหรับขับขี่ทั่วไป บนพื้นถนนลาดยางแห้งๆ เครื่องยนต์จะส่งกำลังไปยังล้อหลัง 100 %, 4H สำหรับขับขี่บนพื้นถนนเปียกลื่น แต่จำเป็นต้องใช้ความเร็ว จะมีชุด Center Differential Lock และ VCU หรือ Viscous Coupling Unit ช่วยกระจายแรงบิดไปสู่ล้อหน้าและหลัง ตามอัตราส่วน หน้า 50 % หลัง 50 % , 4HLc ใช้ขณะขับในทางฝุ่น ทางลูกรัง โดยชุด เพลากลาง Center Differential จะล็อค อัตราส่วนการกระจายแรงบิดไปยังล้อหน้า – หลัง ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับสภาพถนน, 4LLc จะใช้อัตราทด เฟืองสูง เพื่อช่วยส่งแรงบิดไปยังล้อในการปีนป่ายเส้นทางต่างๆ ตามต้องการ และล็อกการกระจายแรงบิด แต่จำกัดความเร็วสูงสุดเอาไว้เท่านั้น หลังจากรู้จักโหมดการขับขี่ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ข้างหน้าของผมก็เป็นถนนดินลูกรัง ผสมหินกรวดก้อนเล็กใหญ่สลับกันไป พร้อมทั้งหลุมบ่อ ทางต่างระดับเอียงซ้าย เอียงขวา สลับกันไป อุปสรรคขนาดนี้จากการวิเคราะห์ของผม ผมเลือกใช้ “โหมด 4HLc” ทันที แต่จะขับได้ดีก็ขึ้นอยู่กับระบบช่วงล่างแบบคอยล์สปริง 4 ล้อ ด้านหน้าแบบอิสระดับเบิ้ลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทรีลิงค์ ทอร์คอาร์ม พร้อมเหล็กกันโคลง
พอเริ่ม Start ออกตัวไปหลุมบ่อเยอะมาก การยุบตัวและคืนตัวของช่วงล่าง สามารถผ่านอุปสรรค์ได้ดีพอสมควร เมื่อผ่านโค้งแคบต่างๆ อุปสรรค์ของลูกรัง หินกรวดทำให้เกิดอาการลื่น จึงต้องอาศัยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีการส่งกำลังไปยังล้อต่างๆ ที่เหมาะสมจึงจะผ่านอุปสรรคไปได้ เมื่อลองผ่านสัก 4-5 โค้ง ก็สามารถเรียกความมั่นใจ ผมจึงค่อยๆ เพิ่มความเร็วขึ้นไปอีกว่าจะรับได้ขนาดไหน ผลออกมาว่า “ขับได้สนุกไม่น้อย การคอนโทลทำได้ไม่ยากนัก” แต่การขับในลักษณะนี้คุณต้องมีทักษะในการขับขี่ที่ดีพอ เพราะการใช้ความเร็วในแบบ Off Road มีตัวแปรที่มากกว่าทางเรียบบนท้องถนนมากมาย แม้สายตาคุณจะมองเห็นว่าไม่มีอะไรข้างหน้า แต่เมื่อคุณขับมาด้วยความเร็วรถของคุณจะสไลด์ออกจากจุดที่คุณตั้งใจจะเลี้ยวอย่างแน่นอนไม่มากก็น้อย ทำให้อาจจะตกหลุม ชนเนินดิน ทำให้ (Momentum) หรือแรงส่งจากการเคลื่อนที่ส่งไปในทิศทางที่แรงมากขึ้น ในขณะที่รถกำลังเสียอาการ ทำให้เกิดการพลิกคว่ำได้ง่ายๆ ดังนั้นถ้าไม่มีความจำเป็นอย่าขับเร็วในเส้นทางแบบนี้เลยครับ แม้ว่าช่วงล่างจะดีมากขนาดไหนก็ตาม
ช่วงล่าง
สนุกสนานกันพอหอมปากหอมคอในสไตล์ Off Road แล้ว ในช่วงสุดท้ายเป็นทางโค้งขึ้น – ลงเขาเลาะเขื่อนศรีนรินทร์ ซึ่งในช่วงนี้ผมทดสอบอยู่ 2 อย่าง คือ ช่วงล่าง และ Paddle Shift ซึ่งการลงเขาต้องมีการใช้เกียร์ต่ำ ผมจึงใช้ Engine Brake มาช่วยลดความเร็วในการลงเขา เพราะถ้าคุณใช้เบรกอย่างเดียวเบรกจะร้อนมากอาจจะทำให้เบรกไม่อยู่ ผมจึงใช้ Paddle Shift เป็นตัวลดและเพิ่มเกียร์ ในการใช้งานสามารถทำได้ง่ายๆ แค่เพียง “ลดเกียร์ดึงซ้าย เพิ่มเกียร์ดึงขวา” การตอบสนองจังหวะเกียร์ถือว่าฉับไว ส่วนช่วงล่างด้วยตัวรถที่สูง ทำให้เวลาเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงมีการโยนตัวอยู่พอสมควร แต่ถ้าคุณขับความเร็วตามป้ายกำหนดความเร็วของแต่ละโค้ง รับรองคุณไม่หลุดโค้งแน่นอน
และแล้วก็ถึงที่พัก Lake Heaven ความรู้สึกส่วนตัวจากการที่ได้ขับมา จากการปรับช่วงล่างให้นิ่มขึ้น เพิ่มความบันเทิงต่างๆ ลดขนาดเครื่องยนต์เพิ่มความประหยัดเข้าไป ทำให้เหมาะสมที่จะเป็นรถครอบครัว ที่พร้อมจะพาคุณเดินทางไปได้ทุกที่แบบสบายๆ แต่แฟนความแรงของค่ายนี้อาจจะน้อยใจเล็กๆ เพราะคงจะไม่มีความแรงที่กระชากจนหลังติดเบาะได้เช่นเดิม
ขอขอบคุณบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้โอกาส iAMCAR ได้สัมผัสนวัตกรรมดีๆ เช่นนี้ พร้อมทั้งการดูแลแบบ First Class ตลอดเส้นทาง สุดท้ายหากใครสนใจไปลองสัมผัสด้วยตัวคุณเองทุกโชว์รูมของ มิตซูบิชิทั่วประเทศ
New Mitsubishi Triton ท้าชนด้วยนิยาม หน้าเข้ม แรงจัดประหยัดสุด
Mitsubishi Motors ส่งออกรถยนต์อันดับ 1 ของไทย ปี 2560