รีวิว New MG5 Turbo ” ทดลองขับ เอ็ม จี 5 เทอร์โบ ใหม่ “

หลังจากแบรนด์ MG ส่งน้องใหม่ล่าสุดออกสู่ตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการ ในที่สุดก้ได้ฤกษ์งามยามดีที่ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด จะร่อนหมายเชิญร่วมทดสอบขับ “ NEW MG5 ” ซักที โดยครั้งนี้ยึดเส้นทางสายใต้จากจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นจุดเริ่มต้น เพื่อเดินทางสู่จังหวัดภูเก็ตเป็นระยะทางกว่า 250 กม. โดยงานนี้พาหนะของ iAMCAR คือรถ MG5 Turbo ( เอ็ม จี 5 เทอร์โบ )รุ่นท็อปสุด

 

สำหรับ NEW MG5 นับเป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมที่โดดเด่น และสะดุดตาด้วยเส้นสายที่เฉียบคมด้วยสไตล์สปอร์ตภายใต้แนวคิด Coupe Design ผสมผสานแนวคิด Brit Dynamic บนพื้นฐานตัวถังแบบ 4 ประตูที่เน้นความปราดเปรียว เฉียบคมด้วยเส้นสันบนฝากระโปรงหน้ารูปทรง V-Shape ที่ชัดเจน สอดรับอย่างลงตัวกับกรอบไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์ และเสริมความปลอดภัยอีกขั้นด้วยไฟ Daytime Running Lights (DRL) ดีไซน์ยาวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ MG ในขณะที่ด้านบนหลังคาเน้นอารมณ์ความสปอร์ตด้วย Sunroof ที่สามารถเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า

 

ภายในห้องโดยสารของได้รับการพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ เพิ่มเติมความประณีตด้วยวัสดุที่มีคุณภาพสูง เช่น เบาะที่นั่งหุ้มหนัง, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น, แผงคอนโซลหน้า และหน้าปัดดีไซน์สปอร์ต พร้อมหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะมาพร้อมระบบเครื่องเสียง และหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่สามารถแสดงผลระบบนำทาง และภาพจากกล้องมองหลัง ตลอดจนการเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านระบบ Bluetooth เพื่อช่วยเพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ทุกเส้นทาง

และที่สำคัญ NEW MG5 ยังเป็นรถยนต์รุ่นที่ 2 ของ MG ซึ่งติดตั้งระบบ inkaNet เทคโนโลยีการสื่อสารอัจฉริยะระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำงานบนเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายซึ่งจะต้องดาวน์โหลด Application ลงบนโทรศัพท์มือถือ และลงทะเบียนก่อน โดย inkaNet จะประกอบด้วย 7 ฟังก์ชั่นหลัก ได้แก่ ระบบแจ้งเตือนความผิดปกติ เมื่อมีการเคลื่อนหรือสตาร์ทรถยนต์, ฟังก์ชั่นระบบนำทางผ่าน Google Map ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามตำแหน่งของรถ และข้อมูลสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ได้, ฟังก์ชั่นระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยกำหนดขอบเขตรัศมีการขับรถยนต์, ฟังก์ชั่นแสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในการขับรถ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยทั้งแบบรายสัปดาห์ และแบบรายเดือน, ฟังก์ชั่นระบบเลขาฯ ส่วนตัว ให้คุณสามารถติดต่อ MG Call Centre ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส และฟังก์ชั่นวางแผนการเดินทาง โดยระบบ inkaNet นี้ยังมากับความพิเศษสำหรับลูกค้า NEW MG5 ซึ่งจะได้รับสิทธิพิเศษสามารถเชื่อมต่อระบบ inkaNet ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือฟรี นานถึง 5 ปี เลยทีเดียว

สำหรับขุมพลังของ New MG5 นั้นจะทำตลาดด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 2 รุ่น คือ เครื่องยนต์ Turbo พิกัด 1.5 ลิตร 129 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตรที่รอบเครื่องยนต์ 2,000-4,400 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 106 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที โดยทั้ง 2 รุ่นเครื่องยนต์นั้นสามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ ด้านระบบส่งกำลังในรุ่นเครื่องยนต์ Turbo จะมากับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ส่วนในรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร มากับเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับกับบุคลิกของ New MG5 สำหรับการใช้งานที่ครอบคลุมทั้งในเมืองและนอกเมือง โดยมีจุดเด่นก็คือความสามารถในการปรับโหมดได้ทั้งแบบ Sport และแบบ Manual เพื่อเพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ขึ้นอีกระดับ

 

ในขณะที่ระบบช่วงล่างนั้นเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ที่เรียกว่า European Tuning Suspension บนพื้นฐานด้านหน้าแบบ Ultra-Rigid MacPherson Strut และด้านหลังแบบ H-Type Torsion Beam พร้อมคานขวางแบบ U-Shape เพื่อเสริมสร้างการยึดเกาะถนนที่แน่นหนึบทุกย่านความเร็ว พร้อมด้วยการเสริมความมั่นใจในการหยุดยั้งด้วยดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมระบบ LDC (Low Dragging Calipers) ตามด้วยการอัดแน่นของระบบเทคโนโลยีความปลอดภัยแบบ 9 Integrated Active Safety Systems ซึ่งประกอบด้วย ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS – Hill Start Assist System), ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (TCS – Traction Control System), ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน (ABS – Anti-lock Braking System) พร้อมระบบช่วยกระจายแรงเบรก (EBD – Electronic Brake Force Distribution), ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน (MSR – Motor control Slide Retainer), ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC – Curve Brake Control) และระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง (ITPMS – Indirect Tire Pressure Monitor System) ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจกับระบบเสริมแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBA – Electronic Brake Assist) และ ระบบควบคุมการทรงตัว (SCS – Stability Control System) ซึ่งถือได้ว่าเป็นที่สุดของความครบครันในเรื่องของระบบความปลอดภัยและในการทดลองขับบนระยะทางกว่า 250 กม. จากโชว์รูม MG ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี สู่จังหวัดภูเก็ต ขบวน MG5 ทั้ง 10 คันประกอบด้วย Turbo จำนวน 6 คัน และรุ่น 1.5 N/A 4 คัน นั้นมีการสลับสับเปลี่ยนเพื่อลิ้มรสของทั้ง 2 รุ่น โดยรถหมายเลข 1-4 ในรุ่น Turbo จะสลับกับรถหมายเลข 7-10 รุ่น N/A แต่สำหรับเราที่ได้รถคันหมายเลข 6 นั้นงานนี้ไม่ต้องเปลี่ยนรถกับใคร ถือครอง MG5 Turbo รวดเดียวยาวๆ จากจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถึงจังหวัดภูเก็ต และสัมผัสมสมรรถนะของ MG5 Turbo ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งงานนี้ MG5 Turbo ก็สามารถบอกอะไรเราได้หลายอย่าง โดยเฉพาะตัวตนของความเป็นแบรนด์ MG ด้วยฟิลลิ่งการขับอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น จากความสปอร์ตที่สื่อสารผ่านพละกำลังของเครื่องยนต์โดยเฉพาะในโหมดการขับขี่แบบ Sport ที่ตอบสนองได้ทันใจจากการเพิ่มรอบเครื่องยนต์ขึ้นอีกราวๆ 500 รอบ จากปกติในโหมด Normal เพื่อให้สามารถกดคันเร่งเพื่อเรียกใช้กำลังได้อย่างทันใจ ในขณะที่โหมด Manual นั้นก็ให้อารมณ์การขับขี่ได้รางกับเกียร์ธรรมดาที่คุณต้องเป็นผู้จัดการเปลี่ยนเกียร์เองแม้จะลากจนสุดเรดไลน์ก็ตาม เกียร์ก็จะไม่เปลี่ยนให้ เพราะฉะนั้นใครยังคงหลงรักมนต์เสน่ห์การขับขี่รถในสไตล์เกียร์ธรรมดา แต่ขี้เกียจจะเหยียบคลัทช์ต้องไม่พลาดการขับขี่ในโหมดนี้

 

ด้านระบบช่วงล่างนั้นต้องยอมรับว่าสามารถสื่อสารอารมณ์ความสปอร์ตออกมาได้ดี ให้ความมั่นใจได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งบนทางตรงที่คงความนิ่ง และในทางโค้งที่มีแรงยึดเกาะอันน่าประทับใจ ผสมผสานกับน้ำหนักพวงมาลัยที่ปรับหน่วงอย่างลงตัวทั้งในความเร็วต่ำ และความเร็วสูง ตลอดจนล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้ว พร้อมยาง 205/55 R16 ที่ช่วยให้ MG5 Turbo สามารถขับขี่ได้อย่างสนุกมากขึ้นโดยเฉพาะในทางโค้ง เรียกว่าเปี่ยมด้วยความมั่นใจตลอดการเดินทาง และในความเห็นส่วนตัวเราว่า MG5 จะสามารถสร้างความมั่นใจในการขับขี่ได้มากขึ้นกว่านี้ หากสามารถปรับตำแหน่งเบาะนั่งได้ต่ำลงมากขึ้น รวมถึตำแหน่งพวงมาลัยที่น่าจะปรับระยะใกล้-ไกลได้ เพื่อให้ผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบตำแหน่งการขับในสไตล์สปอร์ตปรับได้เข้ากับสรีระมากขึ้น และแน่นอนว่าด้วยตัวตนของแบรนด์ MG ซึ่งถูกถ่ายมาสู่ MG5 จนได้อรรถรสความสปอร์ตที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งแน่นอนว่าความสปอร์ต ขับสนุกคงถูกใจบรรดาคนรักอารมณ์สปอร์ตเป็นแน่ และอาจทำให้กลุ่มที่ชอบยนตรกรรมในสไตล์พ่อบ้าน แม่บ้านที่เน้นความนุ่มนวลเป็นหลักอาจส่ายหน้าหนีทันที โดยเฉพาะเมื่อต้องขับขี่ในเส้นทางที่ถนนไม่เรียบนัก เนื่องจากน่าจะสัมผัสฟิลลิ่งสปอร์ตในระดับที่มากเกินไป เพราะฉะนั้นการปรับเซ็ทช่วงล่างในนุ่มนวลขึ้นน่าจะเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเพิ่มกลุ่มเป้าหมายของ MG5 ได้ แต่นั่นก็อาจทำให้สูญเสียตัวตนของยนตรกรรมจากแบรนด์ MG ไป ซึ่งนี่น่าจะเป็นปัญหาที่ทาง MG น่าจะต้องขบคิดกันต่อไป

 

แต่กับกลุ่มคนที่ชื่นชอบการขับ และหลงใหลฟิลลิ่งสปอร์ตที่สื่อสารผ่านเครื่องยนต์พ่วงระบบอัดอากาศ สู่น้ำหนักพวงมาลัย และช่วงล่าง ล่ะก็เราขอบอกว่า MG5 Turbo จะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม และแม้จะเป็นแบรนด์น้องใหม่ที่ผู้บริโภคยังต้องดูใจในเรื่องของการบริการหลังการขาย และอะไหล่ล่ะก็ เชื่อเถอะว่าแบรนด์ MG ในประเทศไทย จะต้องพยายามอย่างหนักหน่วงเพื่อ “ซื้อใจ” ผู้บริโภคชาวไทยในจุดนี้อย่างแน่นอน ขอแค่คุณเปิดใจให้กว้างเท่านั้น เพราะเราเชื่อว่า MG5 Turbo คือ อีกหนึ่งยนตรกรรมที่เมื่อได้ขับแล้วจะต้องติดใจ โดยเฉพาะผู้หลงใหลอารมณ์สปอร์ตอย่างเรา

 

นอกจากอารมณ์สปอร์ตแล้วในการทดสอบครั้งนี้ยังเพิ่มช่วงระยะเวลาสั้นให้ได้ลองอัตราการประหยัดน้ำมันอีกด้วยเช่นกันกับระยะทางเกือบๆ 100 กม. และด้วยการกำหนดเวลาในการเดินทางเอาไว้ทำให้การขับในครั้งนี้จำต้องใช้ความเร็วเดินทางแบบปกติตามกฏหมายบนถนนโล่งๆ ด้วยระดับความเร็วเฉลี่ยตั้งแต่ 100-120 กม./ชม. โดยสวมวิญญาณพ่อบ้านที่ไม่เร่ง ไม่รีบตามพฤติกรรมการขับขี่ของคนทั่วไป และผลสรุปก็คือ MG5 Turbo สามารถทำความประหยัดได้เฉลี่ยถึงกว่า 16 กม./ลิตรเลยทีเดียว ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงอีกหนึ่งความสามารถของ MG5 Turbo เช่นกันในเรื่องของความประหยัด และทั้งหมดนี้คือเหตุผลสำคัญที่หากใครต้องการรถใหม่ซักคัน MG5 Turbo ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว


บทความที่เกี่ยวข้อง

รู้หรือไม่ กับ MG5 คุณประโยชน์ของเครื่องยนต์ Turbo

ใหม่ MG5 ( เอ็มจี 5 )ยนตรกรรม Sub–Compact 4 ประตู Coupe Style

เอ็มจี เผยโฉมรถอเนกประสงค์ต้นแบบ MG CS พร้อมส่ง NEW MG5

แท็กยี่ห้อรถยนต์ : MG

แท็กฮิต : , , , ,