รีวิว : New NISSAN Navara Grand Titanium ( นิสสัน นาวารา )
กระแสความร้อนแรงของตลาดกระบะ 1 ตัน หลังเหตุการณ์อุทกภัยมีเข้ามาไม่หยุดหย่อนทยอยออกรุ่นใหม่ๆ มาให้ผู้บริโภคได้เลือกสรรกันแบบจุใจ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ก็เป็นอีกค่ายที่ส่ง New NISSAN Navara Grand Titanium ( นิสสัน นาวารา ) เข้าชิงส่วนแบ่งการตลาด ถึงแม้จะเป็นแค่การ Minor Change แต่ก็มีฟังก์ชั่นใหม่ๆ ให้มาเพียบ ภายใต้คอนเซ็ป “พันธุ์แกร่ง แรงจัด ประหยัดจริง”
พันธุ์แกร่ง แรงจัด ประหยัดจริง
เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า “พันธุ์แกร่ง แรงจัด ประหยัดจริง” New NISSAN Navara Grand Titanium – Sports Version จะทำได้จริงหรือไม่ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงจัดทริปพิเศษพาสื่อมวลชนทดสอบ New Navara ทั้ง 2 รุ่น โดยเลือกใช้เส้นทางแบบขับข้ามประเทศกันไปเลย จาก จ.อุบลราชธานี – ปากเซ จำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว บนเส้นทางไฮเวย์ และออฟโรด ระยะทางกว่า 600 กม. เรียกได้ว่าทริปนี้เจอทุกสภาพถนนและทุกสภาพอากาศอย่างแท้จริง
สิ่งใหม่ๆ ที่มีมาให้
เมื่อสื่อมวลชนทุกๆ ท่านพร้อมหน้าพร้อมตากันตั้งแต่เช้าที่โรงแรมสุนีย์ จ.อุบลราชธานี เพื่อฟังบรรยายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่และเส้นทางการทดสอบ โดยมี คุณจิระพล รุจิวิพัฒน์ Vice President Product Marketing & Planning บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และคุณชนกนันท์ เตชะภัทรพร ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มากล่าวต้อนรับและร่วมการทดสอบ พร้อมทั้งคุณภควัฏ ตาปสนันทน์ Assistant General Manager Commercial Car Prouct Marketing บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มาเป็นผู้ให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์
ระบบ Crushable Zone
การเปลี่ยนแปลงของ New Navara ในครั้งนี้ออกมา 2 เวอร์ชั่น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มีความหลากหลายมากขึ้น โดยจุดเด่นเริ่มต้นจากโครงสร้างตัวรถด้วยระบบ Crushable Zone ซึ่งเป็นระบบปกป้องการชนด้านหน้า ช่วยดูดซับแรงปะทะจากการชนด้านหน้า ลดความรุนแรงเวลาเกิดอุบัติเหตุ ต่อมาเป็น Safety Zone ซึ่งจุดนี้ต่างจากคู่แข่งชัดเจนโดยเสริม Reinforce หรือคานเหล็กกันกระแทกด้านข้างประตูคนขับและผู้โดยสารถึง 3 จุด รวมถึงเสริมคานเสาประตูหลัง และคานประตูหลังซ้าย- ขวาอีก 2 จุด
เครื่องยนต์
ส่วนเครื่องยนต์มาในคอนเซ็ป Eco-PWR Technology รหัส YD25DDTi ความจุกระบอกสูบ 2,488 ซีซี. พร้อมระบบอัดอากาศแปรผัน VN Turbo โดยเครื่องยนต์ตัวนี้แบ่งย่อยออกเป็น 2 รุ่นคือ YD25DDTi High Power Commonrail (YD-174) ให้กำลังสูงสุด 174 แรงม้า ใช้กับรุ่นขับเคลื่อนแบบ 4 X 4 ส่วนอีกตัว YD25DDTi Mid Power Commonrail (YD-144) ให้กำลังสูงสุด 144 แรงม้า ใช้กับรุ่นขับเคลื่อนแบบ 4 X 2 ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และออโต้ 5 สปีด
ภายนอก
คราวนี้มาดูความเปลี่ยนแปลงภายนอกของรุ่น New Grand Titanium ก่อน โดยในรุ่นนี้เน้นที่ความโดดเด่นของสีไททาเนียมและการดีไซน์ใหม่ มากถึง 6 จุด ตั้งแต่กระจังหน้า, การ์ดกันชนหน้า, กระจกมองหน้าพร้อมไฟเลี้ยว LED, ที่เปิดประตู, กันชนหลัง และล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว มาต่อกันที่รุ่น Sports Version ความเปลี่ยนแปลงมีให้ตั้งแต่กระจังหน้าแบบ V Shape ที่เงาแวบ, การดีไซน์กันชนแบบสปอร์ต, กระจกมองข้างโครเมี่ยม และล้ออัลอยสีโครเมี่ยมขนาด 16 นิ้ว
ส่วนภายในจัดเต็มทุกฟังก์ชั่น โดยพวงมาลัยจากเดิมซึ่งมีระบบ Cruise Control อยู่แล้ว แต่เพิ่มระบบความคุมเครื่องเสียงเข้ามาอีก (เฉพาะรุ่น Calibre ขึ้นไป) อีกส่วน คือ DVD ระบบสัมผัส พร้อมช่องเสียบ USB และ AUX, ระบบ Bluetooth, กล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะบนหน้าจอ และรองรับ Navigator
ทุกอย่างพร้อม..ออกเดินทางสู่ไนแองการ่า แห่งเอเซีย
เมื่อทุกอย่างพร้อม ผมและเพื่อนร่วทริปออกเดินทางไปกับ New NISSAN Grand Titanium Calibre AT 4×2 เรามุ่งหน้าสู่ชายแดนไทย-ลาว ผ่านช่องเม็กเพื่อเข้าสู่ประเทศลาว ระหว่างทางเป็นถนนไฮเวย์แบบ 4 เลน ที่สามารถใช้ความเร็วสูงได้อย่างสบาย ผมใช้ความเร็ว 140 – 150 กม./ชม. ในการเดินทางบนถนนเรียบๆ โค้งกว้างๆ ใช้ความเร็วสูงๆ ได้แบบความต่อเนื่อง ความเร็วไหลขึ้นไปเรื่อยๆ ระบบส่งกำลังไหลลื่น แม้กำลังของเครื่องยนต์จะไม่ตอบสนองแบบทันใจมากนักเพราะมีแค่ 144 แรงม้า แต่ก็เหมาะสมกับการเดินทาง ส่วนการทรงตัวในทางตรงถือว่านิ่งมาก ในช่วงทางโค้งกว้างๆ ของถนนไฮเวย์ที่ใช้ความเร็ว 130-140 กม./ชม. ก็ไม่มีอาการท้ายไหลหรือหน้าดื้อโค้งให้รู้สึก ผมถือว่าบนถนนไฮเวย์ New Navara สอบผ่านครับ
มุ่งหน้าสู่ ลาว
พอเราผ่านด่านช่องเม็กมาทั้งหมด 20 คัน ต้องเปลี่ยนการขับชิดขวาตามกฎหมายลาว สภาพถนนเป็นแบบ 2 เลน สวนทางกัน และยังมีอุปสรรคในการขับขี่ระหว่างสองข้างทางอีก ไม่ว่าจะเป็น วัว, ควาย, แพะ, จักรยาน, มอเตอร์ไซด์ และเด็กนักเรียน เส้นทางแบบนี้จึงต้องอาศัยสมรรถนะของรถที่ดีทั้งในเรื่องของอัตราเร่งแซง ระบบเบรค และความแม่นยำของพวงมาลัย ที่ให้ประสิทธิภาพการควบคุมที่ดี เพราะเราเดินทางด้วยความเร็วที่สูงพอสมควร เรื่องอัตราการเร่งแซงจาก 80 กม./ชม. เร่งไปถึง 120 กม./ชม. ด้วยระบบเทอร์โบแปรผันที่ช่วยรีดพละกำลังออกมาประกอบกับระบบส่งกำลังที่สั่งงานเกียร์อย่างแม่นยำ สัมพันธ์กับรอบเครื่องยนต์ทำให้อัตราเร่งไหลขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง แซงผ่านได้สบาย แต่บางจังหวะที่เรามาด้วยความเร็วสูงแล้วมีแพะหรือวัวตัดหน้า ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยมากจนเป็นเรื่องปกติ จึงต้องใช้สมรรถนะของระบบเบรคที่มาพร้อม ABS และ EBD ล้วนๆ เพราะไม่สามารถหักหลบได้ เพราะถนนแคบมากแทบจะไม่เหลือไหล่ทางให้รถวิ่ง จึงต้องเบรคให้อยู่อย่างเดียว ซึ่งจุดนี้ระยะเบรคของ New Navara ถือว่าโอเคครับ อาการท้ายส่ายไปมาก็ไม่มี จึงทำให้สามารถควบคุมรถเวลาเบรคแรงๆ ได้ไม่อยาก และความแม่นยำของพวงมาลัยเวลาที่เรากระชากเปลี่ยนเลน เพื่อเร่งแซงด้วยความรวดเร็วส่วนนี้ผมใช้งานเกือบตลอดทาง เพราะจังหวะการเร่งแซงมีน้อย ต้องเข้า-ออก เลนด้วยความแม่นยำในจุดนี้เยี่ยมครับ ในที่สุดเราก็ไปถึง “ไนแองการ่า แห่งเอเซีย” เพื่อรับประทานอาหารและชมความงามที่หาชมได้ยาก
ออฟโรด..กลับที่พัก
จากที่ดื่มด่ำกับบรรยากาศ “ไนแองการ่า แห่งเอเซีย” อย่างเต็มอิ่มแล้ว เราก็มุ่งหน้าเดินทางต่อสู่ “ปราสาทหินวัดพู” ซึ่งถือเป็นมรดกโลกแห่งที่สองของลาว มีน้ำสักศักสิทธิ์ที่ไหลออกมาจากก้อนหินอยู่ด้านบนสุด ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเดินขึ้นไป ต่อจากนั้นเราเดินทางกันต่อโดยซึ่ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 13 ของลาว เหมือนเดิม และถนนก็คงสภาพแบบสองเลนสวนทางกัน แต่เพิ่ม หลุมบ่อ คอสะพาน ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการขับขี่ของเรามากขึ้น แต่ในจุดนี้ New Navara ออกแบบมาเพื่อเป็นกระบะสายพันธ์แกร่ง ระบบช่วงล่างจึงเซ็ตมาแข็งกว่าปกติ เวลาตกหลุม กระโดดคอสะพาน จึงทำให้ผู้โดยสารในรถรู้สึกกระแทกมากกว่าปกติ
ในช่วงการเดินทางเราเดินทางจากวัดพูเพื่อเข้าโรงแรม แกรนด์ จำปาสัก ถนนช่วงนี้ New Navara ต้องรับบทหนักซะแล้ว เพราะเป็นเส้นทางดิน มีฝุ่นสีแดงตลบเต็มท้องถนน และยังมีกรวด หลุม และเนินชัน แต่ความแข็งแรงของช่วงล่างทำให้ผมผ่านมาได้แบบสบายๆ เพราะการออกแบบช่วงล่าง Navara เกิดมาเพื่อสิ่งนี้อยู่แล้ว เรียกว่า ด้วยสมรรถนะช่วงล่างแบบนี้ ขับลุยได้มันส์มากๆ ก่อนจะถึงโรงแรมแกรนด์ จำปาสัก เพื่อพักผ่อนในวันแรก
ฝนตก…ถนนลื่่น
มาต่อวันสุดท้ายกับ New Navara เราออกสตาร์ทกันตั้งแต่ 9.00 น. ด้วยอากาศที่สุดแสนสดชื่นบริสุทธิ์ เมื่อทุกท่านพร้อม คาราวานของเราก็มุ่งหน้าสู่น้ำตกคาดเฮือน คราวนี้เราดูเรื่องทัศนวิสัยในการขับขี่บ้าง กระจกบานหน้าของ New Navara ที่ค่อนข้างตั้งชัน บวกกับการออกแบบคอนโซลที่แข็งแกร่งทำให้ส่วนโค้งที่มาบดบังสายตามีน้อย ประกอบกับเสา A ที่ไม่กว้างเกินไป ทำให้ทัศนวิสัยการขับขี่ชัดเจน ส่วนกระจกมองข้างมีขนาดใหญ่ทำให้มุมมองชัดเจนดีครับ ส่วนด้านท้ายรถมีกล้องมองหลังพร้อมเส้นกะระยะจึงไม่ยากสำหรับการถอยหลังเข้าที่จอดรถ แต่ระหว่างการเดินทางฝนตกลงมาอย่างหนักถนนลื่นมากๆ แต่ New Navara ยังให้สมรรถนะการควบคุมและระบบเบรคที่ไว้ใจได้เช่นเดิม ส่วนสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ คือ“น้ำตกผาส้วม” เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของคนไทย ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกและพัฒนาจนงดงามได้ขนาดนี้ ก่อนจะเดินทางกลับผมส่งต่อให้เพื่อนร่วมทางของผมได้ขับจนถึง โชว์รูมนิสสัน อุบลราชธานี ระยะทางทั้งหมดสำหรับทริปนี้เกือบ 700 กม. ผมพบเจอกับทุกสถานการณ์ น้ำส่วนมัน1 ถังยังเหลือครับ ถือว่า New Navara ประหยัดไม่น้อยเลยทีเดียว
สุดท้ายต้องขอบคุณบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้เกียรติ iAMCAR ได้ร่วมทริปดีๆ เช่นนี้เสมอมา ถ้าท่านใดสนใจ New NISSAN Navara Grand Titanium – Sports Version จอดรอทุกท่านแล้ววันนี้ทั้ง 160 โชว์รูมทั่วประเทศ
บทความแนะนำ
NISSAN Navara Calibre Double Cab LE 5AT
รีวิว : Nissan Navara NP300 ” ทดลองขับ นิสสัน นาวาร่า เอ็น พี 300 “