รีวิว : The new MINI ” ทดลองขับ เดอะ นิว มินิ ” ทั้ง 3 รุ่น ได้แก่ MINI Cooper , MINI Cooper D และ MINI Cooper
มินิ ประเทศไทย จัดทดสอบยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด The new MINI ” เดอะ นิว มินิ ” กับกิจกรรม “MINI Driving Experience: From the Original to the New Original” ซึ่งยังคงดีไซน์เอกลักษณ์ของมินิ พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในทุกๆ ด้าน ทั้งเทคโนโลยี การประหยัดพลังงาน กำลังขับเคลื่อน และที่สำคัญการแสดงออกถึงตัวตนของผู้ขับขี่ โดยนำ The new MINI ทั้งสามรุ่น ได้แก่ MINI Cooper , MINI Cooper D และ MINI Cooper S ให้สื่อมวลชนสายยานยนต์และไลฟ์สไตล์ ทั้งในและต่างประเทศ ได้ทดลองสมรรถนะบนเส้นทางกรุงเทพฯ – ชะอำ
The new MINI
คณะสื่อมวลชนเริ่มสตาร์ทกันที่โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท ซึ่งมินิรุ่นใหม่นี้มีความโดนเด่นอยู่มากมายจากตัวเดิม ถือเป็นนวัตกรรมแห่งความสำเร็จอีกขั้นของค่าย ทั้งในด้านดีไซน์ที่ให้ความโฉบเฉี่ยวมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม เพิ่มความสมดุลย์ระหว่างสมรรถนะการขับขี่และประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานเต็มเปี่ยม พร้อมด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีการสื่อสารและฟังก์ชั่นอัจฉริยะต่างๆ มากมาย พื้นที่โดยสารกว้างขวางขึ้น ความปลอดภัยสูงขึ้น ยกระดับอุปกรณ์ต่างๆ ให้มีคุณภาพเหนือขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงความเป็นรถยนต์สไตล์สปอร์ตอย่างแท้จริง และยังมอบความสะดวกสบายขณะขับขี่สูงสุดอีกด้วย The new MINI “เดอะ นิว มินิ” มาด้วยกัน 3 รุ่น MINI Cooper, MINI Cooper D และ MINI Cooper S
MINI Cooper D
iAMCAR สตาร์ทการทดสอบด้วยรุ่น MINI Cooper D ซึ่งมีขนาดที่เพิ่มขึ้นมิติความยาวโดยรวมเพิ่มขึ้น 98 มิลลิเมตร ความกว้างเพิ่มขึ้น 44 มิลลิเมตร และสูงขึ้น 7 มิลลิเมตร โดยมีความยาวฐานล้อเพิ่มขึ้น 28 มิลลิเมตร ความกว้างช่วงล้อด้านหน้าเพิ่มขึ้น 42 มิลลิเมตร และด้านหลัง 34 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ ทำให้ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยภายในมากขึ้น โคมไฟหน้าที่ได้รับการออกแบบใหม่ ไฟหน้าแบบฮาโลเจน และไฟตัดหมอกแบบฮาโลเจน ส่วนไฟท้ายนำเทคโนโลยี LED มาใช้งาน เพื่อเติมความโดดเด่นของด้านท้าย
เครื่องยนต์
ส่วนของเครื่องยนต์ MINI Cooper D ต้องถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ตามเทรนด์ของโลก โดยการลดจำนวนของลูกสูบลง ลดซีซี.ลง ลดน้ำหนักของเครื่องยนต์ลง แต่มีพละกำลังเหนือกว่าเดิม สร้างประสิทธิภาพเครื่องยนต์ได้มากกว่าเดิม เครื่องยนต์บล็อคใหม่นี้จึงเป็นแบบ 3 สูบ 12 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 1496 ซีซี. (เดิม 4 สูบ ความจุกระบอกสูบ 1598 ซีซี. ) พร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ซึ่งหลายๆ ท่านจะเข้าใจผิดว่าเป็นการใช้เทอร์โบ 2 ตัว แต่จริงๆ เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างระบบวาล์วแปรผันกับระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบที่ปรับปรุงความสามารถของ หลักการเทอร์โมไดนามิกส์หรือการเปลี่ยนความร้อนเป็นพลังงาน จ่ายน้ำมันด้วยระบบคอมมอนเรล ไดเรค อินเจคชั่น ซึ่งสร้างความดันสูงสุดถึง 2,000 บาร์ จึงสามารถสร้างแรงม้าได้ถึง 116 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที สร้างแรงบิดสูงสุดได้ 270 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 รอบต่อนาที (เดิม 110 แรงม้า แรงบิด 270 นิวตัน-เมตร ) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Steptronic
ดูจากสเป็คแล้วจะเห็นว่าลูกสูบหายไป 1 สูบ ความจุกระบอกสูบหายไป 102 ซีซี. แต่ได้แรงม้าเพิ่มมาอีก 6 แรงม้า ประกอบกับแรงบิดเท่าเดิม หลังจากที่ได้สัมผัสต้องบอกว่า ไม่ทราบเลยว่าเป็นเครื่องยนต์บล็อค 3 สูบ เนื่องจากความแรงที่รีดให้ตัวรถพุ่งทะยานไปข้างหน้ามาอย่างหนักหน่วง และต่อเนื่องแบบเร้าใจตั้งแต่หยุดนิ่งไปจนถึงความเร็ว 200 กม./ชม. ทุกครั้งที่กดคันเร่งลงไปจะสัมผัสได้ถึงแรงบิดหนักๆ มาให้คุณใช้งานในการเร่งแซง หรือขึ้นทางชันอยู่เสมอ แต่เมื่อคุณอยากขับแบบชิวๆ สบายๆ ระบบส่งกำลังจะทำงานแบบนิ่มนวล สามารถประหยัดน้ำมันลงกว่ารุ่นเดิมถึง 26% ซึ่งหมายถึงว่าเกิน 20 กม./ลิตรแน่ๆ (กรณีใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 100-110 กม./ชม.)
MINI Cooper S
ในวันขับกลับผมได้มีโอกาศเปลี่ยนรถมาเป็นตัวทีเด็ดอย่าง MINI Cooper S ซึ่งรูปร่างหน้าตาคล้ายกันแต่จะแตกต่างกันที่ ไฟหน้าและไฟเลี้ยวแบบ LED พร้อมไฟเสริมช่องส่องทางในมุมอับด้านหน้าเมื่อเลี้ยวหักมุมและไฟตัดหมอกแบบ LED และนำเทคโนโลยี LED มาใช้กับไฟท้ายด้วย ส่วนของภายใน นอกจากจะกว้างขึ้นตามมิติตัวรถแล้ว ที่นั่งด้านหน้าปรับตำแหน่งได้มากขึ้น และเพิ่มพื้นที่เบาะโดยสารด้านหลังมากกว่าเดิมถึง 23 มิลลิเมตร พร้อมพื้นที่ช่วงไหล่และพื้นที่วางขาที่เพิ่มมากขึ้น สามารถพับแยกได้ถึง 60:40 สำหรับช่องเก็บสัมภาระที่กระโปรงหลังเพิ่มความจุมากขึ้น 51 ลิตร รวมเป็น 211 ลิตร
ออกแบบภายใน
หัวใจสำคัญของการออกแบบภายในใหม่ คือ หน้าจอแสดงผลและคอนเซ็ปต์การทำงานรูปแบบใหม่ บนแผงหน้าปัดบริเวณแกนพวงมาลัย ด้วยหน้าปัดดีไซน์วงกลมสไตล์มินิแสดงผลความเร็ว อัตราเร่ง และปริมาณน้ำมัน โดยหน้าปัดวัดความเร็วแสดงผลในรูปแบบสี ซึ่งบอกสถานะของเครื่องยนต์ ส่วนหน้าจอแสดงผลส่วนกลางที่เป็นเอกลักษณ์ของมินิ ยังได้รับการออกแบบให้เจ้าของรถเลือกการแสดงผลในฟังก์ชั่นต่างๆได้ มีหน้าจอสีขนาด 8.8 นิ้ว แสดงผลที่เกี่ยวกับฟังก์ชั่นของรถ สาระความบันเทิง และการเชื่อมต่อ MINI Connected มีระบบควบคุม MINI Touch Controller ที่ทำงานพร้อมระบบสัมผัสปลายนิ้ว เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถป้อนข้อมูลได้จากการเขียนด้วยนิ้วมือลงบนปุ่ม Controller ได้โดยตรง
เทคโนโลยี LED
นอกจากนี้ยังเพิ่มลูกเล่นในการขับขี่ด้วยเทคโนโลยี LED ใหม่ล่าสุด ที่สามารถเปลี่ยนสีไฟรอบวงแหวนหน้าปัดแสดงผลกลางตามสถานะ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่บนถนน หรือการทำงานของฟังก์ชั่นต่างๆ ตามความพึงพอใจของผู้ขับขี่ เช่น ขณะระบบควบคุมระยะการจอด (PDC) เมื่อทำงานวงแหวนจะแสดงระยะห่างระหว่างรถกับสิ่งกีดขวางด้านหลังรถ ด้วยการแสดงผลในสีต่างๆ ตามระยะความใกล้กับสิ่งกีดขวางหลังรถ ได้แก่ สีเขียว เหลือง หรือแดง นอกเหนือจากการแสดงผลกราฟฟิกบนหน้าจอ รวมถึงการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ที่สามารถเห็นได้จากสีต่างๆ ได้แก่ สีเขียว สีส้ม หรือสีแดง เป็นต้น นอกจากนี้ยังแสดงไฟสถานะสำหรับแนะนำเส้นทางของระบบแผนที่นำทาง MINI Navigation ที่นำมาใช้ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเมื่อรถเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากขึ้นเท่าไร แถบไฟบนวงแหวนก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย
เครื่องยนต์
MINI Cooper S มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินบล็อคใหม่แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว ความจุกระบอกสูบ 1998 ซีซี. เทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo สร้างพลังขับเคลื่อนถึง 192 แรงม้า แรงบิดสูงกว่า 280 นิวตัน-เมตร (เพิ่มแรงบิดสูงสุดเป็น 300 นิวตัน-เมตรด้วยโอเวอร์บูสต์) ระบบขับเคลื่อนเกียร์อัตโนมัติรุ่นใหม่ 6 สปีด พร้อมระบบ Steptronic เชื่อมการทำงานกับระบบเปิด/ปิด การทำงานของเครื่องยนต์ของมินิโดยอัตโนมัติเป็นครั้งแรก ช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในสภาพการจราจรที่แออัด ซึ่งในรุ่นใหม่จะมีขนาดความจุกระบอกสูบมากกว่ารุ่นเดิมเกือบ 400 ซีซี. โดยใช้ระบบ 4 สูบเช่นเดิม แม้จะมีแรงม้าน้อยกว่าเดิม 2 แรงม้า แต่มีช่วงแรงม้าสูงสุดกว้างและต่ำกว่าเดิมตั้งแต่ 4,700 – 6,000 รอบต่อนาที จึงได้ความเร็วปลายอยู่ที่ 233 กม./ชม. (รุ่นเดิม 223 กม./ชม. ) ทำความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 6.7 วินาที (รุ่นเดิม 7.2 วินาที) ที่สำคัญยังประหยัดน้ำมันกว่าเดิมเป็น 19.5 กม./ลิตร (รุ่นเดิม 15.6 กม./ลิตร ) ดูจากตัวเลขพร้อมกับลองขับแล้วต้องบอกว่าขับสนุกมาก เรื่องความแรงไม่ต้องกล่าวถึง เพราะเป็นเสน่ห์มาตั้งแต่เกิด แต่ในรุ่นนี้จะมีโหมดการทำงานอยู่ 3 โหมด ซึ่งสามารถปรับได้จากวงแหวนที่อยู่ตรงฐานของเกียร์ ผมลองปรับเป็น Sport Mode ก่อน ระบบจะทำการปรับเครื่องยนต์ให้ลากรอบได้แบบสะใจ อัตราการบูทส์ของเทอร์โบจะอยู่ในสเต็ปของโอเวอร์บูท ช่วงล่างจะปรับให้แข็ง ยึดเกาะถนนมากขึ้น เติมเต็ม Go Kart Feeling มาอย่างเต็มเหนี่ยว ยิ่งคุณใช้งานโหมดนี้ร่วมกับระบบ Steptronic ความเร้าใจจะมีมากขึ้นไปอีก เราสามารถเปลี่ยนเกียร์เองได้ที่แรงม้าสูงสุด 5,900-6,000 รอบต่อนาที หากมากกว่านั้นระบบจะปรับขึ้นให้เองครับ อารมณ์ในการขับโหมดนี้สนุกสนานเป็นอย่างมากเผลอแป๊ปเดียวความเร็วก็ไปอยู่ที่ 230 กม./ชม. แบบไม่อยากเย็นนัก ผมลองปรับโหมดต่อมา MID Mode ซึ่งเป็นโหมดการใช้งานปกติคันเร่งจะนิ่มลง ระบบช่วงล่างก็มีนิ่มลงตามไปด้วยเหมาะกับการใช้ในชีวิตประจำวัน สุดท้ายเรามาลองเล่น GREEN Mode ซึ่งเป็นฟังก์ชั่นการทำงานใหม่จาก MINI จากชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นโหมดประหยัดรักษ์โลก พอเปลี่ยนมาเป็นโหมดนี้การทำงานทุกระบบจะถูกลดทอนกำลังลง ตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุทั้งหมดออก แต่ระบบปรับอากาศยังทำงานเช่นเดิม ในส่วนของคันเร่งจะเบาและมีช่วงฟรีในการกดคันเร่งขึ้น แม้คุณจะกดคันเร่งลงไป 50% ระบบจะตัดการจ่ายน้ำมันลงให้รอบเครื่องยนต์ไม่สูงมากนัก แต่ไม่ต้องห่วงว่าเมื่อเกิดกรณีฉุกเฉินต้องเร่งแซง เพียงกดคันเร่งจมลงไปพละกำลังจะกลับมาให้คุณทันที ซึ่งในโหมดนี้คุณจะเห็นตัวเลขความประหยัดได้มากถึง 20 กม./ลิตร อีกอย่างคือ สามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้ด้วย
ช่วงล่าง
เสน่ห์ที่สำคัญของช่วงล่างในรุ่นนี้คือ ฟังก์ชั่นไดนามิคแดมเปอร์คอนโทรลหรือระบบปรับความนุ่มนวลของโช๊คอัพอัตโนมัติเป็นครั้งแรก ระบบควบคุมด้วยไฟฟ้าของวาล์วแดมเปอร์มอบการตอบสนองต่อพื้นผิวที่ไม่ราบเรียบของท้องถนนที่เป็นเอกลักษณ์ และมีความหลากหลาย โดยเลือกปรับความนุ่มนวลขณะขับได้สองสไตล์เพียงแค่กดเปลี่ยนสวิตช์ ระดับความนุ่มนวลของโช๊คอัพสามารถปรับแต่งได้โดยเลือกการตั้งค่าที่เหมาะสมตามความชอบและสไตล์การขับขี่ โดยสามารถเลือกได้ทั้งการขับขี่แนวรถแข่งแบบสปอร์ตหรือเลือกการขับขี่ที่นุ่มนวลจากความสมดุลย์ของแชสซี อีกด้วย ระบบพวงมาลัย EPS หรือพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า มอบการปรับน้ำหนักพวงมาลัยให้เหมาะสมกับความเร็ว
สุดท้ายขอบคุณ MINI Thailand ที่ให้เราได้สัมผัสเสน่ห์จาก The New MINI “เดอะ นิว มินิ” อย่างจุใจ ส่วนตัวผมรู้สึกว่าความแรงและความประหยัดที่ได้สัมผัสจาก The New MINI “เดอะ นิว มินิ ” ไม่ใช่เรื่องที่สวนทางกันอีกต่อไป กลับเป็นเรื่องที่ MINI สามารถผสมผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยออกมาได้อย่างลงตัว แถมยังมีฟังก์ชั่นที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับคนรัก MINI อีกมากมายในราคาที่ไม่ได้แพงกว่ารุ่นเดิมเลย
บทความที่เกี่ยวข้อง
New MINI Cooper S ตอนที่ 1 overview
New MINI Cooper S ตอนที่ 2 interior