Toyota Corolla Hybrid อวดของดี “เวอร์ชั่นอเมริกัน” … ให้ชาวไทยตาร้อน
Toyota Corolla Hybrid เวอร์ชั่นอเมริกันที่เห็นอยู่นี้ คือ โมเดลปี 2020 ที่ยังคงมากับพื้นฐานของ Toyota Corolla ในรูปแบบของตัวถังสไตล์ซีดาน แต่อัพเกรดความ “ล้ำ” ไปอีกขั้นด้วยเทคโนโลยีระบบ Hybrid รุ่นใหม่ล่าสุด เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการขับขี่สุดประทับใจ
ต่อยอดจาก Toyota Corolla พื้นฐานสู่ฐานะยนตรกรรม Hybrid
จุดเด่นของ Toyota Corolla Hybrid โมเดลนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นขุมพลังที่ “จัดของเด็ด” มาให้ โดยใช้ความสามารถของระบบไฮบริดใหม่ล่าสุด อันเกิดจากความร่วมมือของเครื่องยนต์เบนซินแบบ Atkinson Cycle พิกัด 1.8 ลิตร ในรหัส 2ZR-FXE แบบ 4 สูบ ซึ่งออกแบบพิเศษ เพื่อให้ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว
รับพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ในชื่อว่า Hyper-Prime Nickel™ โดยมีคุณสมบัติโดดเด่นก็คือ “ขนาด” ที่เล็กกว่า และ “น้ำหนัก” ที่เบากว่า พร้อมการจัดวางตำแหน่งติดตั้งใต้เบาะนั่งด้านหลัง ซึ่งทำให้เกิดจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ทั้งยังเอื้ออำนวยให้มีขนาดพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระใกล้เคียงกับเวอร์ชั่นปกติ
ส่วนเรี่ยวแรงที่มาให้ใช้นั้นก็อยูที่ราวๆ 121 แรงม้า ซึ่งส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ e-CVT โดยมีฟังค์ชั่นการขับขี่ให้เลือกหลักๆ คือ Normal, Eco และ Sport พร้อมด้วยการติดตั้งระบบเบรก Electronically Controlled Brake (ECB) มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อทำหน้าที่แปลงพลังงานที่สูญเปล่า ให้กลายเป็นกระแสไฟฟ้าชาร์จกลับคืนสู่แบตเตอรี่ รวมไปถึงการติดตั้งระบบ PTC (Positive Temperature Coefficient) สำหรับทำหน้าที่ทำความร้อน หากอยู่ในสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็น
สไตล์ที่คุ้นตา แต่มาพร้อมออพชั่นเต็มพิกัด
รูปลักษณ์ของ Toyota Corolla Hybrid ยังคงใช้พื้นฐานเดียวกับรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน พร้อมด้วยการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เพื่อส่งเสริมความประหยัด เช่น ล้ออัลลอยด์ขนาด 15 นิ้วซึ่งมากับยางที่มีค่าแรงต้นทานต่ำ ทั้งยังเพิ่มความสบายในการขับขี่ด้วยระบบช่วงล่างด้านหลังแบบมัลติลิงค์ ที่ปรับเซ็ทใหม่ ยกะระดับการควบคุมที่มั่นใจ ไปพร้อมกับๆ การขับขี่ได้อย่างนุ่มนวล
ส่วนภายในครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น หน้าจอ MID- Multi-Information Display ขนาด 7 นิ้ว สำหรับแสดงมาตรวัดความเร็ว, การทำงานของระบบไฮบริด ไปจนถึงสถานะพลังงานแบตเตอรี่แบบ Realtime ในขณะที่ด้านความบันเทิงมากับชุดเครื่องเสียง Entune™ 3.0 Audio System แสดงผลผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ AM/FM/MP3/WMA, การเชื่อมต่อ Apple CarPlay, Amazon Alexa รวมถึงระบบ Safety Connect, Wi-Fi Connect, Scout GPS Link, Siri Eyes Free, Auxiliary และ USB 2.0 สำหรับ iPod
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะยังมีระบบความปลอดภัยชุดใหญ่ ที่ไล่มาตั้งแต่ถุงลมนิรภัย 8 ตำแหน่ง พร้อมระบบ Toyota’s Star Safety System ซึ่งประกอบด้วย ระบบควบคุมการทรงตัว Vehicle Stability Control, ระบบควบคุมการลื่นไถล Traction Control, และระบบ EBD-Electronic Brake-force Distribution, ระบบ BA-Brake Assist, ระบบ ABS-Anti-lock Braking System, ระบบ Smart Stop Technology และกล้องมองหลัง
รวมไปถึงการเพิ่มเติ่มระบบ Toyota Safety Sense 2.0 เข้าไปเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยจะประกอบด้วยระบบ PCS (Pre-Collision System) สำหรับตรวจจับคนเดินถนน, ระบบ Full-Speed DRCC (Dynamic Radar Cruise Control) ในการควบคุมความเร็วคงที่แบบไดนามิกเรดาร์, ระบบ LDA (Lane Departure Alert) w/ Steer Assist ทำหน้าที่เตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงพวงมาลัยอัตโนมัติ, ระบบ LTA (Lane Tracing Assist) ทำหน้าที่ในการควบคุมรถบนถนนที่ไร้เส้นแบ่งเลน, ระบบ AHB (Automatic High Beam) กับการควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ และระบบ RSA (Road Sign Assist) สำหรับเป็นผู้ช่วยเตือนสัญญาณจราจร