รีวิว : TOYOTA Prius ( โตโยต้า พรีอุส ) Top Grade รถยนต์ ประหยัดพลังงาน รักษ์สิ่งแวดล้อม
กระแสของรถยนต์ ประหยัดพลังงาน รักษ์สิ่งแวดล้อม ที่เราเรียกกันว่า “Hybrid” ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่สุดในยุดนี้ แต่พอมามองในตลาดเมืองไทยที่มีรถ Hybrid ขายอยู่ ณ ขณะนี้ กลับมีแต่ค่าย TOYOTA เท่านั้น ซึ่งเรียกกันว่า “ TOYOTA Prius ” ( โตโยต้า พรีอุส ) ซึ่งยังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยแต่ละเดือนมียอดขายยู่ราวๆพันกว่าคัน เราจึงขอลองของนำมาทดสอบสมรรถนะและความประหยัดกันดูครับ ว่าจะประหยัดสมคำร่ำลือหรือไม่?
เน้น..ประหยัดเป็นหลัก
ก่อนจะไปทำการทดสอบผมของเล่าถึง TOYOTA Prius ( โตโยต้า พรีอุส ) ก่อน คำว่า “Prius” ในภาษาลาตินหมายถึง “ผู้ที่ไปถึงก่อนใคร” กำเนิดขึ้นครั้งแรกในเจเนอเรชันที่ 1 ในปี 2540 ซึ่งเหมาะมากๆ ในปีนั้น เพราะเศรษฐกิจของโลกเข้ายุค “ต้มยำกุ้ง” พอดี จึงต้องหาทางประหยัดเงินในทุกทาง ปัจจุบันนี้มาถึงเจเนอเรชั่นที่ 3 แล้ว แต่ก็ยังคงรูปแบบแฮทช์แบ็กท้ายลาด 5 ประตู แต่ที่เน้นมากกว่ารุ่นเก่าๆ คือ เรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ เพราะในเจเนอเรชั่นนี้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (Cd) เพียงแค่ 0.25 ตรงนี้บ่งบอกได้เลยว่า…การออกแบบคำนึงถึงเรื่องการประหยัดพลังงานเป็นหลักสำคัญ แต่ในรุ่นนี้เลือกใช้อุปกรณ์เสริมเป็นตัวสร้างความโดดเด่น เช่น ไฟหน้าแบบ LED ดีไซน์โฉบเฉี่ยวแบบหัวธนู มีระบบทำความสะอาดไฟหน้า ด้วยหัวฉีดน้ำทำความสะอาดไฟหน้า แบบพับซ่อนเก็บได้ ช่วยให้เห็นชัดและทัศนวิสัยดีทุกการเดินทาง ส่วนกันชนหน้ามีการใส่ไฟตัดหมอกและไฟเลี้ยวไว้ในกันชน ด้านท้ายใช้ไฟท้าย LED ที่บ่งบอกความเป็น “Hybrid” ได้อย่างยอดเยี่ยม บวกกับไฟหน้า-หลัง ที่ดีไซน์มาเพิ่มบ่งบอกความเป็นรถที่มีเทคโนโลยีสูง ทำให้ตัวรถดูเด่นขึ้นมากทีเลยเดียว
ดีไซน์…สุดล้ำ
เดินทางมารับรถที่โตโยต้า สำโรง อย่างแรกที่ต้องพินิจพิเคราะห์คงเป็นเรื่องของภายใน เปิดประตูมาแล้ว สิ่งที่เห็น คือ งานดีไซน์ที่ล้ำสมัย พอเหยียบเบรคกดปุ่ม Engine Start จะตามมาด้วยเทคโนโลยีอีกมากมาย เริ่มต้นด้วย Head-up Display แสดงผลมาตรวัดความเร็วรถ และระดับการขับขี่แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมบนกระจกบังลมด้านหน้าในระดับที่เราสามารถ มองเห็นได้โดยไม่บดบังทัศนวิสัยและไม่ต้องละสายตาจากถนน ขยับมาตรงกลางมีจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ ออพติตรอน (Advanced Multi-Information Display หรือ MID) แสดงค่าทุกการทำงานขณะขับขี่ ส่วนที่พวงมาลัยมีปุ่มควบคุมระบบสัมผัส ที่สามารถแสดงภาพกราฟฟิกปุ่มควบคุมบริเวณพวงมาลัยบนจอ MID ได้ ซึ่งจะช่วยให้เราควบคุม ระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ และระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สายแบบบลูทูธ ส่วนเครื่องเสียงเป็นแบบ CD 6 แผ่น รองรับไฟล์ MP3 / WMA พร้อมช่องต่อ AUX พร้อมลำโพง 8 จุด
เบาะนั่งคนขับเน้นความสบายในการขับขี่ได้ ยิ่งเบาะผู้โดยสารด้านหลังมีการเพิ่มพื้นที่ระหว่างเบาะหน้าและเบาะหลัง ทำให้นั่งยืดขาได้อย่างสบายๆ พอเปิดฝาท้ายในส่วนพื้นที่เก็บของด้านหลัง กว้างขวาง เพียงพอสำหรับถุงกอล์ฟ 3 ใบ เรียกได้ว่า เก็บของได้เยอะมาก ปิดท้ายด้วยระบบเปิดประตูอัจฉริยะ (Smart Entry) และ ระบบสตาร์ทอัจฉริยะ (Push Start) ให้ความสะดวกสบายโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ในการเปิดประตูและการสตาร์ทรถ
3 โหมด…ตอบสนองได้ทุกอารมณ์
มาลองขับกันกีกว่า “กดปุ่ม Engine Start” เสร็จ จะเริ่มสงสัยทันทีว่าเครื่องยนต์ติดหรือยัง เพราะเครื่องยนต์เงียบมาก ให้สังเกตคำว่ามี “Ready” ก็ใส่เกียร์ “D” ออกตัวได้เลย แต่ก่อนจะออกไปทดสอบสมรรถนะด้วยกัน ไปรู้จักเครื่องยนต์ตัวนี้ก่อน เครื่องยนต์เทคโนโลยี Atkinson Cycle พร้อมระบบควบคุมการหมุนเวียนไอเสีย EGR(Exhaust Gas Recirculation) ในบล็อค 2ZR – FXE 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมวาล์วแปรผัน VVT-I มีความจุกระบอกสูบ 1,797 ซีซี แรงม้าสูงสุด 99 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Motor) ชนิดมอเตอร์ซิงโครนัสแม่เหล็กถาวร ให้แรงดันไฟฟ้าสูงสุด 650 โวลต์ ให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 207 นิวตัน-เมตร พร้อม แบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (Nickel–Metal Hydride) และระบบส่งกำลังแบบเกียร์ไฟฟ้าอัตโนมัติ E-CVT
มาเริ่มขับกันครับ Prius มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 รูปแบบ โดยการปรับเปลี่ยน เพียงปลายนิ้วสัมผัส ผมขอเริ่มต้นด้วยโหมดการขับขี่แบบทรงพลัง (PWR Mode) ระบบจะผสมผสานกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์อย่างเต็มที่ เพื่อตอบสนองการขับขี่อย่างทันใจ เรียกได้ว่ากระแทกคันเร่งแบบจมเท้ามีอาการหลังติดเบาะให้เห็นนิดหน่อย แต่สามารถ
ECO Mode
ทำความเร็วทะลุ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ไม่ยาก แต่ช่วงความเร็วเกิน 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป จะขยับขึ้นช้าหน่อย แล้วเวลาเร่งเครื่องรอบจะสูงมากๆ มีเสียงเครื่องยนต์เข้ามาในห้องโดยสารอยู่บ้าง แต่ก็ช่วยเร้าอารมณ์การขับให้ดูสปอร์ตมากขึ้นครับ ต่อมาเป็นโหมดการขับขี่ประหยัดน้ำมัน (ECO Mode) ระบบจะเลือกใช้กำลังในการขับเคลื่อน จากมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า อันนี้ผมลองใช้งานในเมืองอย่างเดียวนะครับ แบบรถติดที่ไหนไปที่นั่น ถ้าคุณค่อยๆ ขับเหยียบคันเร่งเบาๆ ค่อยๆ ไล่รอบขึ้นไป พยายามใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ โดยให้สังเกตการทำงานว่าเป็นพลังการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าหรือ เครื่องยนต์ พยามยามใช้จากมอเตอร์ไฟฟ้ามากๆ น้ำมัน 1 ลิตร วิ่งได้เกิน 40 กม.แน่นอน ผมเองใช้อยู่ 6 วันวิ่งในเมืองอย่างต่ำวันละ 80 กม. ใช้น้ำมันไปครึ่งถังเองครับ ถือว่าเป็นรถทดสอบคันแรกที่ผมไม่ต้องเติมน้ำมันเลย สุดท้ายมาโหมดเงียบสนิท (EV Mode) ระบบจะใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ให้การขับขี่ที่เงียบสนิท เหมาะสำหรับการเดินทางในบริเวณที่ใช้ความเร็วต่ำๆ รถติดๆ ค่อยๆไหล ในความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม. แต่ผมลองใช้แล้วสามารถวิ่งได้ในความเร็ว 47 กม./ชม. แล้วก็จะตัดเข้าใช้เครื่องยนต์ปกติ แต่ถ้าไฟฟ้าในแบตไม่พอ จะมีการติดเครื่องยนต์อัตโนมัติเพื่อชาร์จไฟฟ้า
เกาะ…เกินความคาดหมาย
ในเรื่องของช่วงล่าง ด้านหน้าใช้ระบบกันสั่นสะเทือนหน้าอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัตพร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม เสริมความปลอดภัยด้วยตัวช่วยอิเล็กทรอนิกส์ VSC ควบคุมเสถียรภาพ และ TRC ป้องกันล้อหมุนฟรี ช่วงล่างนั้นถือว่าทำได้ดีเกินกว่าที่ผมคาดเอาไว้ เพราะการเข้าโค้งโหดๆ ด้วยความเร็วที่สูง ก็สามารถพาเราผ่านโค้งต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ ถึงแม้จะมีระบบ VSC ส่งเสียงเตือนและมีสัญญาณไฟกะพริบเตือนให้เราเสียวอยู่บ้าง เรื่องระบบเบรคเป็นแบบดิสก์ 4 ล้อ พร้อม ABS และ EBD ที่ต้องทำความคุ้นเคยสักพักจึงจะเบรคได้อย่างนุ่มนวล พร้อมระบบพิเศษที่มีมาเพิ่ม คือ เมื่อเบรคจนกระทั่งรถหยุดนิ่ง แล้วกดแป้นเบรคต่อลงไปอีกนิด จะเป็นการเปิดระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน มีไฟสัญญาณเดียวกับ VSC สว่างขึ้น โดยเมื่อยกเท้าจากแป้นเบรคแล้ว เบรคจะทำงานค้างไว้ให้ประมาณ 3 วินาที เพื่อป้องกันรถไหล ใช้งานง่ายและมีความนุ่มนวลเมื่อปลดเบรค และถ้าเบรคกะทันหันไฟเบรคจะกะพริบเตือนผู้ขับที่ตามมา ลดโอกาสการถูกชนท้ายไปในตัวครับ
ระบบส่งกำลัง
มาดูที่ระบบส่งกำลังหลังจากที่ได้สัมผัส บอกได้อย่างเดียวครับว่า…นิ่มนวลทุกช่วงความเร็ว แต่ที่น่าสนใจ คือ เกียร์ “B” สิ่งนี้เหมาะกับเส้นทางลงเขาคล้ายกับเราใส่เกียร์ต่ำเอาไว้ ซึ่งนอกจากเป็นการชาร์จแบตเตอรี่แล้ว ยังทำหน้าที่คล้ายกับ Engine Brake ซึ่งตัวมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วยทำการหน่วงความเร็วไว้ ทำให้เข้าโค้งลงทางลาดชันได้ดีขึ้น ลดการใช้เบรคให้น้อยลง ซึ่งก็สามารถทำได้ดีในระดับที่น่าพอใจ
ในราคาค่าตัว 1,260,000 บาท กับเจ้า TOYOTA Prius คันนี้ สิ่งที่คุณจะได้ คือ เทคโนโลยี “Hybrid” ที่ช่วยคุณประหยัดพลัง ลดภาวะโลกร้อน และสมรรถนะที่พอตัว ความนิ่มนวล และความปลอดภัย แต่ให้คุ้มค่าสูงสุด คุณควรจะซื้อมาใช้ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ออกต่างจังหวัดบ้างบางครั้ง คุณจะได้ใช้ “Hybrid” อย่างสุดคุ้ม
https://www.youtube.com/watch?v=vpi1sSMct2E
บทความแนะนำ
Grand Opening New TOYOTA Prius