รีวิว VOLVO XC60 T5 ( วอลโว่ เอ็กซ์ซี 60 ที 5 )“ความคุ้มค่า” ทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มองหายนตรกรรมจากยุโรปที่จะช่วยยกระดับฐานะทางสังคม ไปพร้อมๆ กับความสามารถในการตอบสนองความต้องการได้อย่างหลากหลาย
VOLVO XC60 T5 ( วอลโว่ เอ็กซ์ซี 60 ที 5 ) วอลโว่เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ยนตรกรรมจากยุโรปที่ยังคงทำการตลาดในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลง ทำให้หลากหลายแบรนด์ต้องพยายามปรับภาพลักษณ์ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ด้วยหลักสูตรการดีไซน์ที่ทันสมัย เพื่อลดอายุของแบรนด์ และรถโมเดลใหม่อย่างในปัจจุบัน แต่วอลโว่ คือแบรนด์ที่ยังคงปักหลักยึดมั่นในงานดีไซน์ที่เน้นความภูมิฐาน หรูหรา ซึ่งดูเหมือนแทบจะไม่สนใจในกลยุทธ์การปรับภาพลักษณ์ หรือลดอายุให้แบรนด์ด้วยงานดีไซน์มากเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับค่ายอื่นๆ โดยเฉพาะยนตรกรรจากฝั่งยุโรป และนั่นทำให้แบรนด์วอลโว่เองยังคงถูกมองว่า เป็นแบรนด์ที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคระดับวัยกลางคนมากกว่า ซึ่งเราเองก็คิดเช่นนั้น
VOLVO XC60 T5
“วอลโว่ เอ็กซ์ซี 60 ที 5” ยนตรกรรม Crossover เวอร์ชั่นล่าสุด ที่เรากำลังจ้องมองมันอยู่ในขณะนี้ก็เช่นกัน แม้นี่จะเป็นเวอร์ชั่นที่ถูกปรับเพิ่มเติมความทันสมัยในรูปลักษณ์ภายนอก ที่แม้จะไม่หวือหวาจนสะดุดตา แต่เมื่อลองนึกภาพการได้เป็นเจ้าของ XC60 T5 เข้าจริงๆ แล้ว เรารู้สึกว่างานดีไซน์ที่ดูเรียบหรูนั้น ยิ่งนานไป ยิ่งดูไม่น่าเบื่อ ซึ่งนี่คงเป็น “ความลับ” ของการออกแบบที่ดีไซเนอร์ใส่ลงไปในยนตรกรรมของวอลโว่ทุกคันก็เป็นได้
รูปลักษณ์ของรถ
สำหรับ XC60 T5 คันนี้มีความโดดเด่นในรูปลักษณ์ของรถ Crossover ที่ผสมผสานกับงานสไตล์รถ Coupe อย่างเด่นชัด เช่น ตัวถังด้านล่างแบบยกสูง และการติดตั้งล้อขนาดใหญ่มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในขณะที่ตัวถังด้านบนนั้นงดงามด้วยแนวเส้นหลังคาโค้งมน เพิ่มความสะดุดตาด้วยรายละเอียดองค์ประกอบต่างๆ เช่น กระจังหน้าแบบโครเมี่ยม, การเลือกใช้โทนสีภายนอกทั้งหมดเป็นสีเดียวกัน, ติดตั้งชุดไฟหน้าให้ทันสมัย, เปลี่ยนฝากระโปรงหน้าใหม่ ทั้งยังใส่ใจในทุกองค์ประกอบด้วยการซ่อมท่อฉีดน้ำล้างกระจกไว้ใต้ฝากระโปรง ตลอดจนฝาครอบเรดาห์ด้านหน้าที่ถูกพ่นเป็นสีดำให้กลมกลืนไปกับกระจังหน้า ซึ่งทำให้สามารถนำเสนอความงามของงานดีไซน์ได้อย่างชัดเจนมากขึ้น ในขณะที่ด้านหลังได้ทำการเปลี่ยนท่อไอเสียใหม่ให้เป็นทรงเหลี่ยม 2 ท่อ เพื่อให้ดูสปอร์ตขึ้น
ภายในห้องโดยสาร
ด้านภายในห้องโดยสารเต็มเปี่ยมด้วยแนวทางของความหรูหรา และเรียบง่าย เช่น การเลือกใช้วัสดุตกแต่งลายไม้, วัสดุหนัง และผ้าเกรดพรีเมี่ยม ในขณะที่อุปกรณ์ควบคุมต่างๆ นั้น อยู่รวมกันบนแผงคอนโซล และพวงมาลัยมัลติฟังค์ชั่น เพื่อให้สามารถอำนวยความสะดวกในการใช้งานแก่ผู้ขับขี่ได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการปรับระบบปรับอากาศ หรือเครื่องเสียงระดับ High Performance และสิ่งที่ผมชอบที่สุดเลยก็คือ ระบบหน้าจอดิจิตอล Adaptive Digital Display ที่สามารถแสดงผลในรูปแบบของหน้าปัดอินเตอร์แอคทีฟกราฟฟิก บนหน้าจอ TFT (Thin Film Transistor) ได้ถึง 3 รูปแบบ คือ Elegance หน้าปัดโทนสีเหลือง, Eco โทนสีเขียว เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการแสดงความรักษ์โลก และ Performance กับหน้าปัดโทนสีแดงที่แสดงถึงความสปอร์ต และสำหรับบรรดาพ่อบ้าน แม่บ้าน เราเชื่อแน่ว่าต้องชอบเบาะนั่งแถวหลังที่สามารถปรับพับได้แบบ 40/20/40 รวมถึงห้องเก็บสัมภาระด้านหลังที่สามารถจุของได้มากถึง 480 ลิตร ทั้งยังมีฝากระโปรงท้ายที่สามารถเปิดอัตโนมัติได้ถึง 3 แบบ คือ ใช้รีโมทคอนโทรล, การกดปุ่มที่แผงหน้าปัด หรือเปิดด้วยมือจับด้านท้าย ซึ่งจะช่วยให้การขนของขึ้นรถเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นในทันที
และด้วยสิ่งนี้เองที่ทำให้เราต้องวางโจทย์ให้ดีในการออกไปทดลองขับ และด้วยพื้นฐานของการเป็นรถอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างหลากหลาย เพราะฉะนั้นงานนี้เราจึงเลือกที่จะหนีจากกรุงเทพฯ ออกไปรับลมทะล และเฟ้นหาขีดความสามารถของ “วอลโว่ เอ็กซ์ซี 60 ที 5″ไปพร้อมๆ กับการพักผ่อนสักคืนก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยทีเดียว และไวเท่าความคิดเสื้อผ้าสำหรับ 2 วัน 1 คืน และอุปกรณ์ที่ต้องใช้ต่างๆ ก็ถูกยัดใส่กระเป๋า พร้อมด้วยเสบียงสำหรับฆ่าเวลาระหว่างทาง ก็ถูกจัดวางอยู่ท้ายรถพร้อมออกเดินทางเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
เครื่องยนต์ Drive – E Powertrain
เบนซิน T5 แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว เทอร์โบชาร์จ ส่งเสียงขึ้นเบาๆ ทันทีที่กดปุ่มสตาร์ท พร้อมด้วยแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยพอให้รู้สึก ราวกับเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความพร้อมในการถ่ายทอดเรี่ยวแรงระดับ 220 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที ซึ่งหลายคนคงจะมองว่าเป็นตัวเลขที่ดูแล้วเร้าใจไม่น้อย แต่เชื่อเถอะครับว่าทันทีที่ได้ลองขับ หรือจุ่มน้ำหนักคันเร่งด้วยเท้าขวาตัวเลขระดับ 220 แรงม้า เมื่อเจอกับแรงบิดระดับ 350 นิวตันมตรที่รอบต่ำเพียง 1,500 รอบต่อนาที ที่ลากยาวไปได้จนถึง 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่มากับความสามารถในการปรับให้ตรงกับสไตล์ของการขับขี่ พร้อมฟังก์ชั่น Geartronic และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift บนพวงมาลัย เพื่อเพิ่มความเร้าใจในสไตล์เกียร์ธรรมดา สำหรับผมนั้นบอกได้เลยว่าแค่การจุ่มคันเร่งลึกๆ ในตำแหน่งเกียร์ D Volvo XC60 T5 ก็สามารถให้ความเร้าใจได้มากแล้ว โดยไม่ต้องพึ่งความเร้าใจเพิ่มเติมทั้งจากฟังก์ชั่น Geartronic และแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift เพราะด้วยระดับกำลังของแรงบิดรอบต่ำ ก็สามารถทำเอาเราๆ ท่านๆ หลังจมเบาะได้ง่ายๆ เลยทีเดียว เรียกว่าถ้าไม่ชำเลืองมองเห็นมาตรวัดรอบบนหน้าปัดที่กำหนดเพดานบินเอาไว้ถึง 8,000 รอบต่อนาที เราคงนึกว่ากำลังควบยนตรกรรรมดีเซล เทอร์โบ สมรรถนะสูงอยู่ก็เป็นได้
พละกำลังที่ได้สัมผัสทันทีที่เริ่มแตะคันเร่ง คงไม่อาจสร้างความประทับใจให้เราได้มากพอ หากไร้ซึ่งส่วนประกอบสำคัญในการขับเคลื่อน ตั้งแต่ตำแหน่งเบาะนั่งผู้ขับขี่ที่แม้จะวางตำแหน่งสูงตามสไตล์ของรถ แต่ก็ดีไซน์ได้โอบกระชับด้วยอารยธรรมความสปอร์ต พร้อมฟังก์ชั่นที่ปรับตำแหน่งเบาะนั่งด้วยไฟฟ้าตามความถนัดของผู้ขับขี่ เช่นเดียวกับพวงมาลัยที่ปรับตำแหน่งได้ เพื่อเพิ่มความเหมาะสม และความมั่นใจในการขับขี่มากขึ้น ซึ่งต่อให้เราใช้ความเร็วมากกว่าเพื่อนร่วมท้องถนนก็ยังสามารถมีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีมากพอ
พวงมาลัย
ทั้งยังมีแรงหนุนส่งจากน้ำหนักของพวงมาลัยที่แปรผันได้อย่างเหมาะสมกับระดับความเร็วที่ใช้ รวมถึงชุดช่วงล่างก็ได้ทำการปรับเซ็ทมาให้อย่างลงตัว โดยคุณจะรู้สึกถึงความนุ่ม แต่หนึบแน่นในตลอดเส้นทางการขับขี่ ผนวกกับพละกำลังของเครื่องยนต์ที่ตอบสนองได้ทุกรูปแบบการขับขี่ ตั้งแต่ แบบเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ด้วยความเร็วเดินทางปกติ กับรอบที่ต่ำเพียง 2,000 นิดๆ หรือบางทีเผลอๆ เราก็เดินคันเร่งล้นขึ้นไปกว่า 140 กม./ชม. ซึ่งตรงนี้ต้องยกความดีให้กับเสถียรภาพตัวรถที่ต้องยอมรับว่า “นิ่ง” ได้ใจ จนเหยียบเพลินไปโดยไม่รู้ตัว หรือจะเปลี่ยนโหมดการขับขี่แบบไม่ต้องพึ่งพาตัวช่วย เพราะเพียงแค่จุ่มเท้าขวาลึกๆ เจ้า XC60 T5 ที่เรียบหรู ก็พร้อมจะเป็นรถอเนกประสงค์สมรรถนะร้ายกาจ ที่นำแรงบิดรอบต่ำมากระชากอารมณ์ให้สนุกสุดมันส์ในสไตล์ของรถสปอร์ตได้อย่างรวดเร็วทันใจ พูดง่ายๆ ว่าสามารถหยิบยื่นสิ่งที่คุณต้องการได้อย่างไม่มีการอิดออด ให้รู้สึกขุ่นข้องหมองใจ จนทำให้เรารู้สึกสนุก และเพลิดเพลินไปได้ตลอดการเดินทาง
ซึ่งด้วยบุคคลิกเฉพาะตัวของ VOLVO XC60 T5 ” วอลโว่ เอ็กซ์ซี 60 ที 5 “ในสไตล์นี้แหล่ะที่ทำให้เราคิดได้ว่า กลยุทธ์การลดอายุให้กับแบรนด์อย่างที่ค่ายอื่นๆ เค้าทำกันกับรูปลักษณ์เป็นหลักนั้น แบรนด์วอลโว่ กลับคิดต่างด้วยการหารครึ่งกลยุทธ์เดียวกันนี้ด้วยการปูพรมและอัพเกรดให้กับทั้งรูปลักษณ์ และสมรรถนะอย่างล่ะเท่าๆ กัน ซึ่งเรากล้ารับประกันว่าถ้าคุณไม่ได้ลองขับเอง คุณคงไม่เข้าใจในจุดนี้ได้ดีพอๆ กับเรา
การทดลองขับ
การทดลองขับในครั้งนี้เราไม่ได้เพียงแค่ใช้ถนนดำบนไฮเวย์ปกติเท่านั้น แต่เรายังแอบออกนอกเส้นทางเพื่อค้นหาความสามารถอีกด้านหนึ่งของรถอเนกประสงค์คันหรูอย่าง VOLVO XC60 T5 ” วอลโว่ เอ็กซ์ซี 60 ที 5 “ในอีกด้านหนึ่งด้วย นั่นคือ การลุยไปบนทางฝุ่นกลางทุ่งกว้าง เพื่อให้เหมาะสมกับบุคคลิกของความเป็นสไตล์ Crossover ที่มีตัวถังค่อนข้างสูงจากพื้นถนน แต่ด้วยภาพลักษณ์ของทั้งแบรนด์ และลักษณะตัวรถแล้ว เราจึงทดลองขับกันแบบพอหอมปาก หอมคอ เอาแค่เปลี่ยนอรรถรสให้กับการทดลองขับในแบบปกติดูบ้าง และสิ่งที่เราค้นพบก็คือ สมรรถนะของ XC60 T5 แม้จะลองหวดบนทางฝุ่นชนิดที่เรียกว่า “คลุ้งจนมองกระจกหลังไม่เห็น” ในบางช่วง แต่เราก็ยังมั่นใจได้ทั้งในประสิทธิภาพของช่วงล่าง และการควบคุม ที่แม้จะเป็นพื้นฐานของรถขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็ยังมอบความมันส์ให้ได้สัมผัสกันเล็กๆ โดยเฉพาะช่วงสาดโค้ง ที่แม้เราจะหวังถึงอาการของรถที่อาจจะออกมาให้ได้แก้กันบ้าง เพื่อเพิ่มความเร้าใจ แต่ท้ายที่สุดแล้วทั้งระบบความปลอดภัยต่างๆ และพื้นฐานตัวรถที่ปรับเซ็ทมาให้อย่างดี ก็ไม่ยอมให้อาการต่างๆ ของรถเผยตัวออกมาจนทำให้รู้สึกขาดความมั่นใจ พูดง่ายๆ ว่า ต่อให้สถานการณ์เลวร้ายยังไงก็แล้วแต่ ถ้าไม่หวดจนเกิดขีดจำกัดจริงๆ ล่ะก็ XC60 T5 จะยังคงมอบความมั่นใจให้ได้สัมผัสอย่างถึงที่สุดเช่นกัน
ระบบความปลอดภัย
นอกจากสมรรถนะแล้ว อีกหนึ่งจุดเด่นของ XC60 T5 …. ไม่สิ ต้องบอกว่าจุดเด่นของแบรนด์วอลโว่เลยก็คือ ระบบความปลอดภัยที่จัดมาให้เต็มพิกัด ชนิดที่ว่าปลอดภัย และอุ่นใจมากพอๆ กับกำลังนั่งอยู่ในรถถังเลยทีเดียว เพราะนอกจากระบบความปลอดภัยในระดับพื้นฐานแล้ว XC60 T5 ยังได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่เข้าไปอีกระดับ ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยแล้ว ยังช่วยให้คุณเป็นคนที่รักษากฏจราจรได้ง่ายขึ้นอีกด้วย โดยระบบความปลอดภัยใหม่ ที่เพิ่มเติมเข้าไปนั้นจะประกอบด้วย ระบบสตาร์ท และหยุดรถอัจฉริยะ, ระบบควบคุมการทรงตัว และยึดเกาะถนนแบบไดนามิก (Dynamic Stability and Traction Control – DSTC with Advanced Stability Control & Sport) ที่มีหลักการทำงานง่ายๆ คือ ปรับการถ่ายเทกำลังระหว่างล้อในทุกกรณี เพื่อสร้างสมดุลย์ และการทรงตัวที่ดีในการขับขี่ ระบบตรวจจับผู้ขับขี่จักรยาน พร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถแบบเต็มแรงเบรก (Cyclist Detection with Full Auto Brake) ซึ่งเป็นระบบที่คิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในโลก และจะทำงานด้วยความเร็วที่มากกว่า 35 กม./ชม. แต่ไม่เกิน 80 กม./ชม. โดยมีซอฟแวร์ที่สามารถประมวลผลภาพได้เร็วมากขึ้น ร่วมกับเรดาห์บนกระจังหน้าที่ตรวจจับเป็นมุมกว้างถึง 60 องศา และกล้องซึ่งทำหน้าที่ยืนยันวัตถุเบื้องหน้า โดยเรดาห์ตัวนี้สามารถตรวจจับได้แม้กระทั่งคนที่เพิ่งก้าวลงมาเดินบนถนน ในขณะที่กล้องรุ่นใหม่นี้ก็มีความละเอียดที่สูงกว่ารุ่นเดิมมาก ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งระบบนี้ยังทำงานร่วมกับระบบป้องกันการชนขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (City Safety) ที่เตรียมพร้อมเบรก หรือสั่งเบรกทันทีหากอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการชน ระบบเตือนเพื่อป้องกันการชนพร้อมฟังก์ชั่นหยุดรถแบบเต็มแรงเบรก และเซ็นเซอร์ตรวจจับคนเดินถนน (Collision Warning with Full Auto Brake and Pedestrian Detection) ระบบนี้เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อใช้ขณะขับขี่บนถนนไฮเวย์โดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถรับรู้ และเตือนผู้ขับขี่ภายในระยะ 150 เมตร จากเรดาห์ที่ถูกติดตั้งอยู่กระจกหน้า และหลัง รวมถึงกล้องดิจิตอลที่อยู่บนกระจกบังลมหน้าที่จะตรวจจับระยะห่าง ซึ่งหากรถคันหน้าหยุดกะทันหัน และระบบ Collision Warning ประเมินว่าอาจเกิดการชน ระบบจะส่งเสียง และสัญญาณไฟกะพริบเตือน ทั้งยังช่วยลดความเร็วลงด้วยการสั่งให้ระบบเบรกทำงาน เพื่อช่วยผ่อนแรงผู้ขับขี่ ซึ่งถ้ายังไม่เหยียบเบรก ระบบ Auto Brake จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือทันที และเปิดสัญญาณไฟกะพริบฉุกเฉิน เพื่อเตือนรถคันหลังอีกด้วยเช่นกัน
สัญญาณไฟ
สำหรับสัญญาณไฟต่างๆ ก็ได้ทำการเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกระดับ เช่น ฟังก์ชั่นการเปิด – ปิด ไฟสูงอัตโนมัติ (Active High Beam) ที่แม้จะเปิดไฟสูงอยู่ตลอดเวลา แต่ทันทีที่มีรถสวนมาระบบก็จะทำการปรับลดระดับแสงให้เหมาะสม และไม่รบกวน โดยจะกลับมาใช้ไฟสูงเหมือนเดิมเมื่อพ้นรถที่สวนมา ทั้งยังทำงานร่วมกับระบบไฟหน้าแบบหักเหตามทิศทางพวงมาลัย (Active Bending Lights) และเซ็นเซอร์วัดน้ำฝนเพื่อปรับการทำงาน สำหรับการสร้างทัศนวิสัยที่ดีที่สุดในการขับขี่, ระบบเปิด – ปิด ไฟหน้าแบบอัตโนมัติเมื่อเข้า – ออกจากที่มืด (Tunnel Detection) ซึ่งจะทำงานโดยใช้เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งบนกระจกหน้ารถช่วยวัดแสง และคาดสถานการณ์ล่วงหน้าเพื่อสั่งการ, ระบบไฟส่องสว่างเพิ่มมุมมองด้านข้าง เมื่อใช้สัญยาณไฟเลี้ยวขณะขับขี่ความเร็วต่ำ (Cornering Light) เป็นระบบที่พัฒนามาจากระบบไฟหน้าแบบหักเหตามพวงมาลัย และปรับระดับสูง – ต่ำ อัตโนมัติ ซึ่งแสงสว่างจะฉายครอบคลุมมุม 15 องศาจากตัวรถ โดยจะทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม. พร้อมกับการเปิดไฟเลี้ยว และจะปิดการทำงานเมื่อความเร็วเกิน 40 กม./ชม.
ระบบเซ็นเซอร์
ระบบเซ็นเซอร์แจ้งเตือนเมื่อมียานพาหนะอยู่ในมุมอับสายตา (Enhance Blind Spot Information System – BLIS) ซึ่งทำงานด้วยเรดาห์เซ็นเซอร์ในการเผ้าระวังยานพาหนะในรัศมี 70 เมตรจากท้ายรถ โดยจะเตือนด้วยหลอดไฟที่บริเวณประตูด้านซ้าย และขวา เมื่อมีความเร็วมากกว่า 10 กม./ชม. รวมถึงระบบแจ้งเตือนเมื่อมีรถวิ่งเข้ามาจากทางด้านข้าง ขณะถอยหลังออกจากที่จอด (Cross Traffic Alert) ที่จะมีเรดาห์เซ็นเซอร์ที่ท้ายรถตรวจจับ และแจ้งเตือน ช่วยให้ง่ายขึ้นเมื่อถอยยออกจากที่จอด โดยเฉพาะในย่านที่มีรถคับคั่ง หรือสิ่งกีดขวางทำให้มองเห็นรถจากด้านข้างไม่ชัดเจน
ระบบแจ้งเตือนป้ายจราจร (Road Sign Information) ระบบที่จะช่วยให้คุณรักษากฏจราจรได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการอ่าน และแสดงสัญลักษณ์ที่เป็นสากลขึ้นบนแผงหน้าปัด เช่น ป้ายจำกัดความเร็ว ป้ายห้ามแซง ด้วยกล้องที่ติดตั้งหน้ารถที่สามารถตรวจจับป้ายจราจรที่ได้มาตรฐานของยุโรป
ระบบเตือนผู้ขับขี่ (Driver Alert Control : DAC) นวัตกรรมแรกของโลกที่เผ้าระวังความเคลื่อนไหว และทิศทางของรถขณะขับขี่ เพื่อประเมินความเป็นไปได้หากผู้ขับขี่เสียการควบคุม หรือมีสมาธิลดน้อยลง จนอาจเกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ โดยระบบจะส่งเสียงเตือน หรือข้อความเตือนทางหน้าจอ
ระบบเตือนเมื่อข้ามเลนส์ (Lame Departure Warning : LDW) จะทำหน้าที่เตือนเมื่อผู้ขับขี่ออกนอกช่องทางเดินรถด้วยสัญญาณเสียงอย่างผิดปกติ เช่น ไม่เปิดไฟเลี้ยว หรือหักเลี้ยวกะทันหัน โดยจะทำงานจากกล้องเพื่อตรวจจับตำแหน่งของรถ และเส้นแบ่งเลน ซึ่งจะเริ่มทำงานตั้งแต่ความเร็ว 65 กม./ชม. และทำงานต่อเนื่องในช่วงความเร็วที่เกินกว่า 60 กม./ชม. ระบบควบคุมความเร็วรถแบบแปรผัน พร้อมฟังก์ชั่นหยุด และออกตัวรถโดยอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า (Adaptive Cruise control with Queue Assist and Distance Alert – ACC) ระบบนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่ทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าได้ในทุกระดับความเร็วจนถึง 200 กม./ชม. ส่วนในการจราจรระดับความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม. ระบบจะทำการปรับระดับความเร็วให้เหมาะสมกับรถคันหน้า และจะแสดงไฟเตือนเมื่อเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป
ระบบควบคุมการทรงตัวเมื่อเกินการโคลง (Roll Stability Control : RSC) ระบบนี้จะทำงานเมื่อรถได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงจนอาจทำให้พลิกคว่ำได้ เพื่อช่วยให้เกิดการทรงตัวที่ดี และลดความเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำ ระบบเตรียมปกป้องความปลอดภัยล่วงหน้า (Pre – Prepared Restraint) จะทำหน้าที่เตรียมตัว หรือปรับเข็มขัดนิรภัยให้เหมาะสมกับแรงชนในกรณีที่เกิดการชนด้านหน้าแบบไม่แรงมากนัก โดยนอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกันอีกด้วย เช่น ไฟหน้าหักเหตามพวงมาลัย และปรับระดับขึ้น – ลงอัตโนมัติ (Active Bending Light), ระบบข้อมูลช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Driver Information System), ไฟตัดหมอกหลัง, เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดทุกที่นั่ง พร้อมระบบดึงกลับอัตโนมัติ, ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED, กล้องช่วยถอยหลัง (Park Assist Camera – Rear), ถุงลมนิรภัยสำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้า, ระบบปกป้องการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ และหลังจากการสะบัดของศรีษะ (Whiplash Protection System – WHIPS), ถุงลนิรภัยด้านข้างสำหรับที่นั่งคู่หน้า, ระบบกระจายแรงเบรกจากการชนด้านข้าง (Side Impact Protection System – SIPS), ม่านนิรภัยด้านข้าง และแกนพวงมาลัยแบบยุบตัวเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบสุดท้าย คือ ระบบปกป้องเมื่อพลิกคว่ำ (Rollover Protection System – ROPS) ที่จะอ่านค่าของอัตราการพลิกของรถ ซึ่งหากสูงถึงขีดอันตราย ระบก็จะเข้าช่วยเหลือ โดยสั่งการม่านนิรภัยด้านข้าง ให้ทำการปกป้องในทันที
และสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นนี้ คือ สิ่งที่ที่เรียกว่าเป็น “ความคุ้มค่า” ทุกๆ ด้านอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มองหายนตรกรรมจากยุโรปที่จะช่วยยกระดับฐานะทางสังคม ไปพร้อมๆ กับความสามารถในการตอบสนองความต้องการได้อย่างหลากหลายแล้วล่ะก็ เราว่า VOLVO XC60 T5 “วอลโว่ เอ็กซ์ซี 60 ที 5” คืออีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าจะต้องเก็บไว้พิจารณาเป็นอย่างยิ่ง
บทความแนะนำเกี่ยวกับ Volvo
วอลโว่ ( Volvo ) เปิดแคมเปญพิเศษฉลอง ตรุษจีน แจก อั่งเปา สูงสุด 50,000 บาท