Volvo (วอลโว่) ยกระดับความสปอร์ตอีกขั้นให้ XC90 ที่มาพร้อมชุดแต่ง R-Design
สาวกรถอเนกประสงค์ยักษ์ใหญ่จากค่าย Volvo (วอลโว่) เตรียมตัวให้พร้อม ต้อนรับการมาของยนตรกรรมใหม่ล่าสุดค XC90 ใหม่ที่แต่งองค์ทรงเครื่อง อัพเกรดความสปอร์ตให้โดดเด่นขึ้นด้วยชุดแต่ง R-Design ชูจุดเด่นความเร้าใจในสมรรถนะจากเครื่องยนต์ T8 Twin Engine AWD
R-Design เสริมทัพ อัพเกรดสู่ความสมบูรณ์แบบ
XC90 ยนตรกรรมอเนกประสงค์สไตล์ Luxury ปรับภาพลักษณ์ใหม่ ด้วยผลงานที่นำเสนอจุดสมดุลย์ระหว่างความหรูหราแบบสแกนดิเนเวียน และความสปอร์ต โดยงานออกแบบจากสตูดิโอ European R-Design ซึ่งประกอบด้วยชุดกระจังหน้า และฝาครอบที่เลือกใช้โทนสีดำเงา Piano Black
เสริมแต่งมุมมองด้านข้างด้วยขอบหน้าต่าง และฝาครอบกระจกมองข้างด้วยวัสดุโลหะ รับกับล้ออัลลอยด์ Diamond Cut สีดำด้านขนาด 20 นิ้ว ในขณะที่ด้านหลังมากับชุดท่อไอเสียคู่ทรงสปอร์ต ปิดท้ายด้วยการเพิ่มโทนสีมาตรฐานใหม่ คือ สีน้ำเงินเมทัลลิค Bursting Blue ที่ช่วยยกระดับความโดดเด่นมากขึ้น
ด้านภายในห้องโดยสารเรียกว่าใส่ความ “หรู” มาเต็มข้อ ด้วยวัสดุเกรดพรีเมี่ยม ด้วยการผสมผสานระหว่างวัสดหนังฉลุ Fine Nappa leather และผ้า Nubuck เนื้อนุ่ม บนเนื้องานดีไซน์ลายตาข่ายอลูมิเนียม (Metal Mesh Aluminium Inlays) เพื่อให้สมดุลกับภาพลักษณ์ภายนอก
สำหรับฟังค์ชั่นอำนวยความสะดวกนั้นมากับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Harman Kardon เป็นผู้ดูแล โดยได้ติดตั้งระบบ Harman Kardon Premium Sound ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ซึ่งเชื่อมต่อกับระบบ Sensus Connect โดยทำงานผ่านลำโพง และซับวูเฟอร์ถึง 13 ตัว เพื่อมอบคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ความบันเทิงอันไร้ที่ติ
ทีเด็ด Volvo ที่ส่งให้ XC90 ไม่ได้เป็นแค่ SUV ชั้นหรู
ความลับที่เปลี่ยน XC90 จากฐานะยนตรกรรมอเนกประสงค์สุดหรู ไปสู่ความสปอร์ต และล้ำสมัย พลิกภาพลักษณ์ Volvo ในสมัยก่อนได้เป็นอย่างดี ก็คือ “สมรรถนะ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งของแรงอย่างเครื่องยนต์รหัส T8 Twin Engine AWD ที่มีกำลังให้ใช้ถึง 407 แรงม้า และมีแรงบิดสูงถึง 640 นิวตันเมตร
จาก 2 แหล่งกำเนิดพลัง คือ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร แถวเรียง 4 สูบ Drive-E Powertrain พ่วง Turbocharger และ Supercharger ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดที่มาพร้อม Sport Mode และ Geartronic พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ All-Wheel-Drive และโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือก 3 สไตล์ คือ Pure, Hybrid และ Power
ส่วนต่อมา คือ เรื่องของความปลอดภัยที่เรียกได้ว่า 1 ในหัวแถวของตลาดรถระดับเดียวกัน โดยได้รับการเพิ่มเติมระบบปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Safety) ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เช่น ระบบเบรกที่ดีที่สุด, ระบบ Pilot Assist (ช่วยขับขี่กึ่งอัตโนมัติ), ระบบ Keyless Entry (การเปิดปิดแบบไร้กุญแจ)
รวมไปถึงระบบอำนวยความสะดวก เช่น การเปิดประตูท้ายรถแบบ Hand-free รวมไปถึงฟังก์ชั่นการแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกหน้า (Head-up Display) ที่ช่วยแสดงข้อมูลให้ทราบข้อมูลได้โดยไม่ต้องละสายตาจากถนนในขณะขับขี่ และทั้งหมดนี้ คือ ความคุ้มค่าในราคาเริ่มต้นที่ 4,590,000 บาท